9 วิธีจัดการอากาศในบ้าน ให้ปลอดภัยขึ้นจาก PM2.5 แบบต้นทุนต่ำ เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ในวันที่ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน บ้านซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดกลับกลายเป็นจุดเสี่ยงโดยไม่รู้ตัวนะคะ เพราะอากาศที่เราหายใจอยู่ทุกวันไม่ได้สะอาดขึ้นเพียงเพราะว่าเราอยู่ในร่มนะคะ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ฝุ่นสามารถสะสม หมุนเวียน และกระทบต่อสุขภาพของเราได้ตลอดทั้งวันค่ะ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และคนที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นการดูแลอากาศในบ้านจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเรื่องเฉพาะของคนมีงบประมาณสูงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกบ้านควรเข้าใจและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังค่ะ และถ้าคุณผู้อ่านได้อ่านแนวทางที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้บทความนี้แล้ว จะพบว่าการจัดการอากาศที่ดีไม่ได้เกิดจากวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงลำพัง แต่เกิดจากการเชื่อมโยงหลายปัจจัยเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ข้อมูลที่เราใช้ตัดสินใจ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการใช้บ้านอย่างรู้จังหวะ ถ้าหากเราเริ่มมองบ้านเป็นระบบอากาศที่มีชีวิตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจะเห็นว่ามีแนวทางดูแลสุขภาพที่ทำได้จริง ใช้ต้นทุนน้อย และยั่งยืน ซึ่งต่อไปนี้คือแนวทางที่ต้องทำความเข้าใจและนำไปปรับใช้กับบ้านของเราค่ะทุกคน 1. ปิดบ้านให้เป็นช่วงเวลา การปิดบ้านให้เป็นช่วงเวลาเป็นหนึ่งในวิธีจัดการอากาศที่เรียบง่ายค่ะ แต่หลายคนมักเข้าใจผิดว่าต้องปิดบ้านตลอดทั้งวันจึงจะปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งความจริงแล้วการปิดบ้านแบบไม่เลือกเวลาอาจทำให้อากาศภายในอับชื้น เกิดการสะสมของก๊าซและฝุ่นภายในบ้านเอง สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่ปิดหรือเปิด แต่คือการรู้จังหวะของอากาศภายนอก ดังนั้นการติดตามค่าฝุ่นเป็นรายชั่วโมงช่วยให้เรารู้ว่า ช่วงไหนควรปิดบ้านเพื่อลดการไหลเข้าของฝุ่น และช่วงไหนสามารถเปิดเพื่อถ่ายเทอากาศได้อย่างปลอดภัย โดยหลักคิดนี้ช่วยให้เราใช้บ้านเป็นเกราะป้องกันสุขภาพได้จริง โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ราคาแพงค่ะ และในทางปฏิบัติเราควรปิดประตูหน้าต่างในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง เช่น ตอนเช้ามืดหรือช่วงที่มีการเผาในพื้นที่ และเลือกเปิดบ้านในช่วงที่ค่าฝุ่นลดลงหรือมีลมพัดช่วยระบายอากาศ การเปิดบ้านควรเป็นการเปิดแบบมีทิศทาง เช่น เปิดฝั่งหนึ่งและใช้พัดลมช่วยดูดอากาศออก เพื่อผลักอากาศเก่าและฝุ่นสะสมออกไป หลักการนี้มีส่วนช่วยลดความเข้มข้นของฝุ่นในบ้านได้มากกว่าการเปิดทิ้งไว้เฉยๆ ค่ะ ที่โดยสรุปแล้วเมื่อเราปิดบ้านอย่างมีเหตุผลและเปิดบ้านอย่างมีระบบ บ้านจะไม่กลายเป็นพื้นที่อับฝุ่น แต่จะเป็นพื้นที่ฟื้นฟูอากาศและสุขภาพของเราในระยะยาวค่ะ 2. ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศในร่มอย่างเหมาะสม การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศในร่มอย่างเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าปลูกเยอะแล้วอากาศจะสะอาดทันทีนะคะ แต่คือการเลือกชนิด วางตำแหน่ง และดูแลให้สอดคล้องกับสภาพบ้านและการใช้งานจริง โดยต้นไม้ในร่มช่วยดักจับฝุ่นหยาบ เพิ่มความชื้นในอากาศได้ และช่วยให้สภาพแวดล้อมภายในบ้านนุ่มนวลต่อระบบทางเดินหายใจมากขึ้น หากเราเลือกต้นไม้ที่ทนร่ม ดูแลง่าย และไม่ต้องการแสงแดดจัด จะช่วยลดภาระการดูแลและป้องกันปัญหาเชื้อราหรือความอับชื้นที่อาจตามมาค่ะ และเราควรปลูกต้นไม้ในร่มในจำนวนพอเหมาะ วางในจุดที่อากาศไหลเวียน ไม่อับ และไม่ขวางทางลม เช่น ใกล้หน้าต่างหรือมุมที่มีแสงรำไร ควรหลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไป เพราะดินที่แฉะจะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและฝุ่นละเอียด การเช็ดใบเป็นประจำช่วยลดฝุ่นที่เกาะบนผิวใบและเพิ่มประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นค่ะ เมื่อเราปลูกต้นไม้ด้วยความเข้าใจ ต้นไม้จะไม่ใช่แค่ของตกแต่งบ้านนะคะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบจัดการอากาศในบ้านที่ช่วยเสริมสุขภาพของเราได้อย่างยั่งยืนได้ 3. ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดพื้นและเฟอร์นิเจอร์แทนการกวาดแห้ง การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดพื้นและเฟอร์นิเจอร์แทนการกวาดแห้ง เป็นวิธีลดฝุ่นในบ้านที่เห็นผลจริงแต่ถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้งค่ะ เพราะการกวาดหรือปัดฝุ่นแบบแห้งจะทำให้ฝุ่นละเอียดรวมถึง PM2.5 ฟุ้งกระจายกลับขึ้นสู่อากาศ และถูกสูดเข้าสู่ร่างกายซ้ำโดยไม่รู้ตัว การเช็ดแบบเปียกช่วยดักจับฝุ่นไว้กับผ้า ลดการฟุ้งกระจาย และทำให้ปริมาณฝุ่นในอากาศลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจนะคะ โดยเราควรใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ไม่จำเป็นต้องเปียกมาก และเริ่มเช็ดจากจุดสูงลงสู่พื้นเพื่อป้องกันฝุ่นตกซ้ำ การซักผ้าเช็ดให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้งานก็เป็นเรื่องสำคัญค่ะ เพื่อไม่ให้ฝุ่นสะสมและกลับมาปนเปื้อนอีก การทำความสะอาดในลักษณะนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดฝุ่นสะสมในบ้านได้ดีกว่าการทำความสะอาดครั้งใหญ่เป็นครั้งคราว เมื่อเราเปลี่ยนวิธีเช็ดบ้านเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนคุณภาพอากาศในบ้านให้ปลอดภัยต่อสุขภาพของเราได้มากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมนะคะ 4. ทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์และพัดลมอย่างสม่ำเสมอ รู้ไหมคะว่า การทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์และพัดลมอย่างสม่ำเสมอ เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการอากาศในบ้านที่หลายบ้านมองข้าม ทั้งที่อุปกรณ์เหล่านี้ทำหน้าที่ดูดและหมุนเวียนอากาศตลอดเวลา เนื่องจากแผ่นกรองที่สกปรกจะกลายเป็นแหล่งสะสมของฝุ่น PM2.5 เชื้อรา และสิ่งสกปรกขนาดเล็ก เมื่อเปิดใช้งาน ฝุ่นเหล่านี้จะถูกเป่ากลับเข้าสู่ห้อง ทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงโดยที่เราไม่รู้ตัว การล้างแผ่นกรองอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยลดแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในบ้าน และทำให้อากาศที่หมุนเวียนสะอาดขึ้นทันทีนะคะ เราควรทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งในช่วงที่มีฝุ่นสูง และเช็ดทำความสะอาดใบพัดลม ตะแกรง และตัวเครื่องควบคู่กัน ใช้น้ำสะอาดหรือแปรงนุ่มๆ โดยหลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองเมื่อใช้งาน หลังล้างควรผึ่งให้แห้งสนิทก่อนประกอบกลับ การดูแลอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยลดฝุ่นในอากาศ แต่ยังช่วยให้แอร์ทำงานมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และยืดอายุการใช้งานไปพร้อมกันค่ะ 5. จัดมุมระบายอากาศแบบธรรมชาติ การจัดมุมระบายอากาศแบบธรรมชาติเป็นวิธีเพิ่มคุณภาพอากาศในบ้านที่ใช้ต้นทุนน้อย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจทิศทางลมและพฤติกรรมการใช้งานพื้นที่ค่ะ โดยหลักคิดสำคัญนี้คือการช่วยให้อากาศเก่า ความชื้น และฝุ่นสะสมถูกระบายออกไป แทนที่จะปล่อยให้อากาศหมุนวนอยู่ภายในบ้านเพียงอย่างเดียว หากบ้านไม่มีช่องลมที่ชัดเจน อากาศภายในจะค่อยๆ เสื่อมคุณภาพโดยที่เราไม่รู้ตัวค่ะ ดังนั้นการจัดมุมระบายอากาศจึงเปรียบเสมือนการเปิดทางให้อากาศได้ไหลออกอย่างมีทิศทาง ไม่ใช่เพียงการเปิดหน้าต่างทิ้งไว้นะคะ โดยเราควรเลือกมุมที่อยู่ฝั่งลมออกมากกว่าลมเข้า เช่น หน้าต่างด้านหลังบ้าน หรือช่องเปิดที่อยู่สูงกว่าระดับพื้น แล้วใช้พัดลมช่วยเป่าอากาศออกนอกบ้าน เพื่อดึงอากาศใหม่เข้ามาแทนจากอีกด้านหนึ่ง วิธีนี้ช่วยลดฝุ่นและกลิ่นอับได้ดีกว่าการตั้งพัดลมเป่าเข้าบ้านโดยตรง ควรเปิดระบายอากาศเฉพาะช่วงที่ค่าฝุ่นภายนอกต่ำ เพื่อไม่ดึงฝุ่นเข้ามาเพิ่ม เมื่อเราจัดมุมระบายอากาศอย่างมีระบบ บ้านจะหายอับ อากาศสดขึ้น และปลอดภัยต่อสุขภาพของเราในระยะยาวค่ะ 6. ใช้ผ้าม่านหรือมุ้งลวดที่ถอดซักได้เป็นตัวกรองเบื้องต้น การใช้ผ้าม่านหรือมุ้งลวดที่ถอดซักได้เป็นตัวกรองเบื้องต้น เป็นวิธีลดฝุ่นที่เรียบง่ายแต่ได้ผลในเชิงปฏิบัติค่ะ เพราะก่อนที่อากาศจากภายนอกจะเข้าสู่บ้าน ฝุ่นจำนวนหนึ่งจะถูกดักไว้ที่ผิวผ้าโดยอัตโนมัติ หากเราไม่มีชั้นกรองใดๆ ฝุ่น PM2.5 และฝุ่นหยาบจะไหลเข้ามาพร้อมลมโดยตรง ผ้าม่านและมุ้งลวดจึงทำหน้าที่เหมือนด่านแรก ช่วยชะลอและลดปริมาณฝุ่นที่จะกระจายเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัย โดยไม่ต้องลงทุนติดตั้งระบบกรองอากาศเพิ่มเติมนะคะ ควรเลือกผ้าม่านเนื้อแน่นพอสมควรหรือมุ้งลวดที่สามารถถอดล้างได้ง่าย และทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพราะผ้าที่สกปรกจะกลายเป็นแหล่งสะสมฝุ่นแทนการกรอง ควรซักผ้าม่านหรือเช็ดล้างมุ้งลวดทุก 2–4 สัปดาห์ โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง การดูแลจุดกรองเหล่านี้จะช่วยลดฝุ่นสะสมในบ้าน และทำให้อากาศที่ไหลเข้ามาสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเราใช้ผ้าม่านและมุ้งลวดอย่างเข้าใจ บ้านจะมีเกราะป้องกันฝุ่นขั้นต้นที่ทำงานได้จริงในชีวิตประจำวันค่ะทุกคน 7. ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน การถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านเป็นพฤติกรรมเล็กๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในบ้านมากกว่าที่เราคิด เพราะฝุ่น PM2.5 ดิน เศษเขม่า และสารปนเปื้อนจำนวนมากติดมากับพื้นรองเท้าจากภายนอก หากเราเดินเข้าบ้านทั้งที่ยังใส่รองเท้า ฝุ่นเหล่านี้จะถูกพาเข้าไปสะสมบนพื้น พรม และเฟอร์นิเจอร์ ก่อนจะฟุ้งกลับขึ้นสู่อากาศจากการเดินหรือทำกิจกรรมต่างๆ การแยกรองเท้าออกจากพื้นที่อยู่อาศัยจึงช่วยตัดวงจรการนำฝุ่นเข้าบ้านตั้งแต่ต้นทางค่ะ โดยเราควรจัดพื้นที่วางรองเท้าไว้หน้าบ้านหรือหน้าห้องให้ชัดเจน อาจใช้ชั้นวางหรือถาดรองเพื่อไม่ให้ฝุ่นกระจาย และทำความสะอาดบริเวณนั้นสม่ำเสมอ สำหรับบ้านที่มีผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก การถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านจะช่วยลดความเสี่ยงจากฝุ่นและสารเคมีที่อาจตกค้างบนพื้น เมื่อเราปรับพฤติกรรมนี้ให้เป็นนิสัย บ้านจะสะอาดขึ้น อากาศดีขึ้น และปลอดภัยต่อสุขภาพของเราทุกคนในระยะยาวค่ะ 8. ลดแหล่งกำเนิดฝุ่นในบ้าน การลดแหล่งกำเนิดฝุ่นในบ้านเป็นพื้นฐานสำคัญของการจัดการอากาศที่หลายคนมักมองข้าม เพราะต่อให้เราปิดบ้านแน่นหรือทำความสะอาดบ่อยเพียงใด หากยังมีฝุ่นเกิดขึ้นจากกิจกรรมภายในบ้านเอง คุณภาพอากาศก็จะไม่ดีขึ้นอย่างแท้จริงค่ะ ซึ่งแหล่งกำเนิดฝุ่นในบ้านไม่ได้มีแค่ฝุ่นจากภายนอกนะคะ แต่รวมถึงควันจากการทำอาหาร การจุดธูป เทียน บุหรี่ ควันจากยากันยุง หรือแม้แต่การเผาขยะใกล้บ้าน ฝุ่นเหล่านี้มีขนาดเล็กและลอยอยู่ในอากาศได้นาน และส่งผลโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจของเราค่ะ ในทางปฏิบัติเราควรลดหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดควันและฝุ่นภายในบ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นภายนอกสูงค่ะ หากจำเป็นต้องทำอาหาร ควรเปิดพัดลมดูดอากาศหรือระบายอากาศออกนอกบ้านทันที การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อควัน และไม่มีกลิ่นฉุนจะช่วยลดภาระต่ออากาศภายใน เมื่อเราเริ่มจัดการฝุ่นจากต้นทาง บ้านจะไม่ต้องรับภาระฝุ่นซ้ำซ้อน และจะกลายเป็นพื้นที่ที่อากาศสะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพของเราอย่างแท้จริง 9. ติดตามค่าฝุ่นเป็นนิสัย ผ่านแอปหรือเว็บไซต์ การติดตามค่าฝุ่นเป็นนิสัยผ่านแอปหรือเว็บไซต์ คือ พื้นฐานของการจัดการอากาศในบ้านอย่างมีสติค่ะ เพราะฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เกิดคงที่ แต่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวันตามลม อุณหภูมิ และกิจกรรมรอบพื้นที่ หากเราไม่รู้สถานการณ์จริง เราอาจเปิดบ้านผิดช่วงเวลา หรือปล่อยให้อากาศภายนอกที่มีฝุ่นสูงไหลเข้ามาโดยไม่ตั้งใจค่ะ การรู้ค่าฝุ่นจึงช่วยให้เราวางแผนปิดและเปิดบ้าน จัดการระบายอากาศ และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจโดยไม่ต้องพึ่งการคาดเดา โดยเราควรเลือกแอปหรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ และอ้างอิงข้อมูลจากสถานีตรวจวัดจริงในพื้นที่ใกล้บ้านมากที่สุด ควรดูแนวโน้มค่าฝุ่นแบบรายชั่วโมงควบคู่กับการสังเกตสภาพอากาศ ไม่ใช่ดูเพียงตัวเลขจุดเดียวค่ะ การตรวจสอบค่าฝุ่นก่อนเปิดหน้าต่าง ก่อนทำความสะอาดบ้าน หรือก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้ง จะช่วยให้เราปรับพฤติกรรมได้ทันสถานการณ์ เมื่อการติดตามค่าฝุ่นกลายเป็นนิสัย การดูแลอากาศในบ้านจะเป็นเรื่องง่าย เป็นระบบ และปลอดภัยต่อสุขภาพของเราในระยะยาวค่ะทุกคน ที่โดยสรุปแล้วการจัดการอากาศในบ้านให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 คือ การมองบ้านทั้งหลังเป็นระบบเดียวกัน ที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะจุดหรือพึ่งพาอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว เพราะอากาศภายในบ้านได้รับอิทธิพลจากอากาศภายนอก โครงสร้างบ้าน พฤติกรรมการอยู่อาศัย และกิจกรรมที่เราทำซ้ำทุกวัน เมื่อเราเข้าใจภาพรวมนี้แล้ว เราจะเห็นว่าคุณภาพอากาศไม่ได้ดีขึ้นจากการลงทุนครั้งเดียวเพียงอย่างเดียว แต่ดีขึ้นจากการปรับวิธีคิดและวิธีใช้บ้านให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมจริงอย่างต่อเนื่องค่ะ และในการนำไปใช้จริงหัวใจสำคัญ คือ การตัดสินใจบนฐานข้อมูลและจังหวะเวลา การที่เราใช้ข้อมูลค่าฝุ่นเป็นตัวกำหนดการเปิดและปิดบ้าน การระบายอากาศ และการทำกิจกรรมภายในบ้าน ควบคู่กับการลดแหล่งกำเนิดฝุ่นและการทำความสะอาดที่ไม่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกลับมา โดยหลักการเหล่านี้สามารถค่อยๆ ปรับใช้ทีละอย่างให้เหมาะกับบริบทบ้าน พื้นที่ และวิถีชีวิตของเรา โดยไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดพร้อมกันหรือเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายค่ะ โดยเมื่อการจัดการอากาศกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว บ้านจะทำหน้าที่เป็นพื้นที่คุ้มครองสุขภาพมากกว่าที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว ทำให้เราหายใจได้สบายขึ้น ใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างมั่นใจแม้ในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง และลดความเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมค่ะ ที่โดยสรุปแล้วความยั่งยืนของการดูแลอากาศจึงไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของวิธีการ แต่อยู่ที่ความเข้าใจภาพใหญ่และการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอในทุกวันค่ะ สำหรับผู้เขียนนั้นดูค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศประจำค่ะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวและหน้าร้อนของประเทศไทย ซึ่งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในบ้าน การเปิดหน้าต่างและประตูเพื่อระบายอากาศ การใช้พัดลมช่วย การทำความสะอาดพัดลม การเลือกของใช้ที่ไม่ดูดจับฝุ่น ถอดรองเท้าเข้าบ้าน ทำความสะอาดบ้านประจำ และอื่นๆ ที่อีกตามสถานการณ์ คือสิ่งที่ผู้เขียนได้ให้ความสำคัญและจัดการให้อยู่ในความเรียบร้อยเป็นประจำอยู่แล้วนะคะ ก็ไม่ได้แป๊ะตลอด 24 ชั่วโมง แต่เฝ้าระวัง จัดการและตระหนักรู้ตลอดค่ะ เพราะสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพเราได้ ดังนั้นอย่าลืมนำแนวทางต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันกันนะคะทุกคน #PM2.5 #วิธีป้องกันฝุ่น #การดูแลบ้าน #ฝุ่นละอองขนาดเล็ก #สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก ถ่ายภาพโดย Dit26978 จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1-3 ถ่ายภาพโดยผู้เขียน และภาพที่ 4 จากเว็บไซต์ World Air Quality Index (WAQI) เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล ผู้สูงอายุอยู่บ้านอย่างไรดี ให้รับผลกระทบจาก PM2.5 น้อยลง ค่า PM2.5 สูง สะท้อนอะไรเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราบ้าง 9 สิ่งต้องรู้เกี่ยวกับฝุ่นละออง PM2.5 มีผลต่อสุขอนามัยได้ไง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี