คุณ ผม และผู้คนที่สวนกันบนรถไฟสายฮังคิว หนังสือที่จะพาผู้อ่านขึ้นไปนั่งบนรถไฟสายฮังคิวด้วยกัน พบเจอผู้คน เรื่องราว และแง่คิดดีๆ จากผู้โดยสารในแต่ละสถานี ตั้งแต่สถานีทาคาราซึกะ จนถึงสถานีนิชิโนะมิยะคิตะงุจิ เขียนโดย อาริคาวะ ฮิโระ แปลโดย พลอยทับทิม ทับทิมทอง จากสำนักพิมพ์ piccolo หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะทำให้การนั่งรถไฟของทุกคนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในบทความนี้จึงเลือกหยิบยก 3 แง่คิดที่น่าสนใจที่ได้หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เตรียมซื้อตั๋วแล้วไปขึ้นรถไฟสายฮังคิวกันเลย! 1. สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่เรื่องราวของยาสุเอะและแฟนหนุ่มของเอ็ตซึโกะหรือเอ็จจังสะท้อนให้เราได้เห็นว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นเพราะสิ่งที่เป็นอาจไม่ใช่เช่นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อได้หรือไม่ ที่ในระยะเวลาอันสั้นบนขบวนรถไฟ 1 ขบวน เราได้อยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าหรือคนรู้จักที่มาจากต่างถิ่น ต่างเพศ ต่างวัย ต่างอาชีพ หรือแม้กระทั้งบางครั้งเราก็เจอคนแปลกหน้าเดิมๆ ในเวลาเดิมๆ บนขบวนรถไฟ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็เป็นเพียงแค่ด้านเดียวที่เราสามารถสังเกตเห็นได้จากฝั่งเราเพียงฝั่งเดียวเท่านั้น แล้วในสายตาของเรา เรามองผู้คนเหล่านี้อย่างไร? แล้วตัวเราเองด้วยจะถูกมองอย่างไร? เวลาที่เราขึ้นรถไฟ เราจะรู้สึกเหมือนถูกมองตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครเลยที่กำลังมองเราอยู่ หรือบางครั้งเราก็เผลอไปสบตากับผู้โดยสารท่านหนึ่งหลายครั้ง จนสงสัยและคิดเองเออเองว่าผู้โดยสารท่านนั้นกำลังคิดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเราอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้โดยสารท่านนั้นก็อาจจะไม่ได้กำลังคิดสิ่งใดในหัวอยู่เลยก็เป็นได้ จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราเห็นผ่านสองตาของเราก็สามารถตีความออกไปได้หลายแง่มุม สิ่งที่เห็นจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะเรื่องราวของโซโกะ ผู้โดยสารบนขบวนรถไฟก็ได้ตัดสินเธอไปแล้วจากชุดกระโปรงสีขาวในวันนั้นคนเราจึงมักจะถูกตัดสินจากเพียงแค่ลักษณะภายนอกในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที เหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกแห่งความจริง แต่คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก หากทุกคนได้มีเวลาพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันละกัน เราอาจจะได้เข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงอีกเช่นกัน เนื่องจากจำวนผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาใช้บริการ อีกทั้งระยะเวลาบนรถไฟจากสถานีหนึ่งไปอีกสถานีหนึ่งก็ไม่ได้มีมากพอที่จะให้เราได้ทำความรู้จักกัน ผู้โดยสารก็มาจากต่างสถานีต้นทาง และก็มุ่งไปยังสถานีปลายทางที่แตกต่างกันอีกด้วยดังนั้น ไม่ว่าเราจะถูกคนอื่นมองว่าอย่างไร อย่างน้อยหวังว่าเราจะไม่ไปตัดสินใคร หรือมองใครในแง่ลบจากการตัดสินบุคคลนั้นจากลักษณะภายนอกที่เราเห็นอยู่ฝ่ายเดียวในระยะเวลาอันสั้น“ถึงแม้เสื้อผ้าอาภรณ์เป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตนบางส่วนของผู้สวมใส่ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ภายนอกสดใส ภายในซีดจาง” 2. ในเวลาเดียวกันเราก็เป็นได้มากกว่าหนึ่งเพราะเราถูกตัดสินจากภายนอก หนึ่งคน หนึ่งความคิด เราจึงเป็นมากกว่าหนึ่ง เราในสายตาของพ่อแม่ เพื่อน คนรัก ศัตรู หรือแม้กระทั่งตัวของเราเอง เราในที่นี้ล้วนแล้วแต่ถูกสะกดและออกเสียงเฉกเช่นเดียวกัน แต่เราในทีนี้ก็ล้วนแล้วแต่ถูกสะท้อนแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง เราคือลูกที่ไม่มีวันโตในสายตาของพ่อแม่ เราคือคนที่เก่งในสายตาของเพื่อน แต่เราก็อาจจะเป็นคนที่ไม่เก่งในสายตาของตัวเอง สิ่งที่เราชื่นชอบอาจเป็นสิ่งที่น่าขบขันสำหรับใครบางคน และในเวลาเดียวกันก็อาจเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับใครบางคนอีกเช่นกัน เรื่องราวของโคซากะ เคอิจิและกอนดาวาระ มิโฮะ ได้ให้มุมมองนี้ผ่านการพูดคุยและทำความรู้จักกันครั้งแรกที่สถานีมนโดะคายุจินบางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่ารสนิยมหรือความชื่นชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งของเรานั้นแปลก หรือรู้สึกว่าไม่มีคนเข้าใจในสิ่งนี้ และก็นี่ก็เป็นเรื่องจริง เพราะไม่มีใครจะเข้าใจเราและยอมรับตันตนของเราได้อย่างสมบูรณ์ได้เท่ากับตัวเราเองแล้ว เนื่องจากมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่โตมาในสภาพแวดล้อมและยุคสมัยที่แตกต่างกัน มุมมองและความเข้าใจต่อบางสิ่งบางอย่างจึงแตกต่างกันออกไป นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกและต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้แต่ถ้าหากบางครั้งโชคดี โชคชะตานำพาดึงดูดคนที่มีรสนิยมหรือวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน คนที่พูดคุยโดยใช้ภาษาเดียวกัน เติบโตมาในสภาพแวดล้อมและยุคสมัยที่ใกล้เคลียงกัน รวมถึงสิ่งที่คนคนนั้นซึมซับมาตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็จะหล่อหลอมให้คนคนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เกิดเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างกันให้ความสัมพันธ์ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น บุคคลนั้นจะทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราหลงไหลมันก็ไม่ได้แปลกหรือแตกต่างจากคนอื่นเลย เพียงแค่เรายังไม่ได้พบเจอคนคนนั้น คนที่ชอบเราในแบบที่เราเป็น“เมื่อเจอคนคนนั้นแล้ว เราจะกล้าเปล่งเสียงของตัวเองได้อย่างอิสระและดังมากขึ้นจนกลบเสียงรบกวนรอบข้าง” 3. คำพูดดีๆ ของเราอาจช่วยชีวิตใครคนหนึ่งได้โดยที่เราไม่รู้ตัวคำพูดดีๆ ของใครบางคนอาจมาช่วยเตือนสติให้เรากลับมาเดินในทางที่ควรจะเดิน อีกทั้งยังไม่ต้องเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ว่าทางที่เรากำลังเดินอยู่เป็นทางที่ผิด เป็นทางเรากำลังทำผิดพลาด หรือเป็นทางที่เรากำลังทำร้ายตัวเองอยู่ การได้รับคำพูดดีๆ หรือการชี้แนะไปในแนวทางที่ถูกต้องจากใครบางคนอาจช่วยทำให้เราฉุกคิดขึ้นได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่องราวของคุณย่าโทคิเอะกับมิสะที่สถานีนิงาวะ และเรื่องราวของยาสุเอะและมิสะที่สถานีมนโดะยาคุจินบางครั้งเรื่องแปลกที่ไม่ถูกต้องไม่ควรเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คนรอบตัวเรามักจะชอบพูดจาทำร้ายกันโดยเผลอปาก เพราะความสนิทสนมที่บางครั้งทำให้เรามักจะเผลอพลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่ดีออกไป จนไปทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ถึงอย่างไร คำพูดที่ทำร้ายจิตใจก็ไม่สมควรที่จะถูกส่งต่อให้กับผู้ใดเลย ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนสนิทหรือคนแปลกหน้า เพราะคำพูดนั้นอาจจะฝังใจคนฟังไปอีกนานแสนนานดังนั้น เราลองมาส่งต่อคำพูดดีๆ ให้กับคนรอบข้าง คนแปลกหน้า และที่สำคัญอย่าลืมส่งต่อคำพูดดีๆ ให้กับตัวเองในทุกวัน คำพูดดีๆ เปรียบเสมือนเป็นแหล่งพลังงานที่คอยเติมพลังให้เรามีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป และทำให้เรากลายเป็นคนที่ดีขึ้น แค่คำชมเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป เรียบง่ายแต่จริงใจ อย่างเช่น“วันนี้แต่งตัวสวยจังเลย” คำชมเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ผู้ฟัง ได้แอบอมยิ้มสักชั่วขณะหนึ่ง หรือหัวใจพองฟูไปทั้งวันเลยก็ได้” และนี่ก็คือ 3 แง่คิดดีๆ จากหนังสือ คุณ ผม และผู้คนที่สวนกับบนรถไฟสายฮังคิว หลังจากทุกคนอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ชีวิตของเราก็คงดำเนินต่อไปเหมือนกับรถไฟสายฮังคิวที่ต้องวิ่งต่อไป เพื่อนำผู้โดยสารจากสถานีต้นทางไปยังที่สถานีปลายทาง วิ่งแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นประจำทุกวัน “บางครั้งในชีวิตจริงของเรา ขณะที่กำลังอยู่ในขบวนรถไฟ ถ้าหากเราหยุดก้มมองโทรศัพท์ในมือ ถอดหูฟังที่กำลังเล่นเพลงโปรดของเราอยู่ แล้วลองสังเกตไปบริเวณรอบข้าง สิ่งต่างๆ รอบตัว ฟังเสียงที่กำลังดำเนินไปบนรถไฟ เราอาจจะได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ ได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจจากการได้เห็นและได้ฟังเช่นนี้ เราอาจจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่มีคุณค่าอย่างที่เราไม่ทันคาดคิดก็เป็นได้”ในหนังสือเล่มนี้ยังได้สอดแทรกข้อคิดแง่มุมดีๆ ต่างๆ ไว้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวบังเอิญที่ไม่บังเอิญของมาซาชิและยูกิที่สถานีทาคาราซึกะ หรือเรื่องราวการแก้แค้นของโซโกะที่สถานีทาคาราซึกะมินามิงุจิ เรื่องราวของผู้โดยสารทุกคนในแต่ละสถานีล้วนแล้วแต่มอบข้อคิดดีๆ ให้กับผู้อ่าน เสมือนได้นั่งอยู่บนรถไฟไปพร้อมๆ กับผู้โดยสารในเรื่องอย่างไรอย่างนั้น หากมีเวลา ลองให้เวลากับหนังสือเล่มนี้ ซื้อตั๋ว และขึ้นรถไฟสายฮังคิวหรือรถไฟสายชีวิตไปด้วยกันภาพประกอบทั้งหมดโดย: ผู้เขียน7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์