6 วิธีฝึกคิดบวกในชีวิตประจำวัน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิมการคิดบวกไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนยังถือว่าเป็นทักษะที่จำเป็นค่ะ การคิดบวกนี้ไม่ใช่การเพิกเฉยต่อสถานการณ์หนึ่งนะคะ แต่การคิดบวกคือการมองสถานการณ์หนึ่งด้วยวิธีคิดที่ต่างออกไป ตั้งแต่ผู้เขียนรู้จักกับคำว่า "การคิดบวก" มาก็ยังไม่เคยเจอว่าตัวเองจะไม่ต้องจัดการสะสางปัญหาใดปัญหาหนึ่งเลยค่ะ แต่กลับพบว่าเวลามีปัญหาให้ต้องแก้ไขเราจะสนุกมากกว่าเพราะเราจะมีตัวเลือกมากกว่า มีแนวคิดและวิธีการมากกว่าหนึ่งทางเลือกค่ะ จนทำให้ผู้เขียนคิดว่าแค่คิดบวกได้วิธีการก็มาเพียบแล้วแบบนี้จะไม่ให้บอกว่าดีได้ยังไงกันปกติผู้เขียนมักเลือกคิดบวกเป็นหลักต่อให้วันนั้นจะเป็นวันที่แย่ที่สุดก็ตามค่ะ ในตอนแรกๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าถ้าจะคิดบวกต้องทำยังไง แต่จากการที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการคิดบวกมากขึ้นลึกขึ้นจึงพบว่า การจะคิดบวกนั้นมีวิธีการที่เราทุกคนสามารถฝึกให้ตัวเองมีทักษะนี้ได้ ในตอนแรกๆ สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกคิดบวกอาจจะยังจับทิศทางไม่ได้แต่พอฝึกไปสักระยะหนึ่งเราจะเริ่มคล่องและเราจะทำได้ง่ายขึ้นค่ะ ยิ่งถ้านำเอาข้อมูลของวิธีการฝึกคิดบวกที่ผู้เขียนได้เขียนลงไว้ในบทความนี้ไปประยุกต์ใช้ยิ่งจะทำให้สามารถฝึกทักษะคิดบวกได้ง่ายขึ้นไปอีกค่ะ ซึ่งโชคดีมากๆ ที่คุณผู้อ่านเปิดมาเจอบทความนี้ โดยวิธีฝึกคิดบวกในชีวิตประจำวันสามารถทำได้ง่ายๆ ตามนี้เลยค่ะ1. พัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองให้ดีขึ้น การหันมาพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองถือเป็นวิธีการที่ทำให้เราสามารถคิดบวกได้ง่ายๆ มากขึ้นค่ะ เพราะเมื่อเราเห็นตัวเองดูดีขึ้น สวยขึ้น น่ารักขึ้น หล่อขึ้น ดูเด็กขึ้น ตัวเราคนแรกที่จะได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะเราจะรู้สึกดีกับตัวเอง มีความมั่นใจมากขึ้น จึงทำให้เราคิดบวกได้ง่ายขึ้นกับสถานการณ์รอบตัวค่ะ จึงไม่ควรมองข้ามว่าการพัฒนาบุคลิกภาพเป็นเรื่องภายนอก แต่แท้จริงแล้วเมื่อบุคลิกภาพดี อารมณ์ก็ดีตามมา การจะคิดบวกก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นหลังจากนั้นแล้วค่ะ2. ดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงตลอดเวลา การมีสุขภาพดีนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว การมีสุขภาพดียังส่งผลต่อสุขภาพจิตโดยตรงค่ะ คนสุขภาพดีย่อมมีสภาพจิตใจที่ดีกว่าคนเจ็บออดๆ แอดๆ แน่นอน การหันมาใส่ใจด้านสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงขึ้นทำให้ง่ายที่จะคิดบวกในชีวิตประจำวันค่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ จงอย่าลืมว่าเรื่องสุขภาพนั้นสำคัญไม่แพ้เรื่องเงินค่ะ คนที่หมดหวัง คนที่คิดลบหลายๆ คนก็มักจะเริ่มต้นด้วยการมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามและละเลยที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของตัวเองค่ะ อย่ารอให้โรคภัยไข้เจ็บปรากฏก่อนแล้วค่อยหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเอง ทำตอนนี้เลยเพราะสุขภาพดีนั้นฟรี พอสุขภาพดีได้สุขภาพจิตก็ดีและต่อมาก็สามารถคิดบวกได้ง่ายๆ ต่อจากนั้นก็มีความสุขได้ง่ายๆ กับเรื่องเล็กๆ ในทุกๆ วันค่ะ เมื่อมีความสุขคุณภาพชีวิตก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว3. การอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงบวก การเสพข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาเชิงบวกจะทำให้เรามองเห็นภาพใหญ่ระหว่างการคิดบวกกับการคิดลบค่ะ เมื่อเราเข้าใจมากขึ้นก็จะทำให้เราสามารถตัดความคิดลบออกได้เร็วขึ้น การคิดบวกหลังจากนั้นก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้วข้อมูลดีๆ ที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงบวกมีเยอะมากในภาษาอังกฤษ และหนังสือบางส่วนสามารถโหลดมาอ่านได้ฟรีจากเว็บไซต์ของต่างๆค่ะ ลองแวะเข้าไปหาหนังสือมาอ่านกันค่ะ ปกติผู้เขียนอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาเชิงบวกทุกวัน พอเรามีข้อมูลดีๆ อยู่ในหัวและในขณะที่มีเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจเกิดขึ้นเราจะจับได้เร็วขึ้นและคิดบวกแทนที่ได้ทันทีทันใดค่ะ ในบางครั้งหนังสือเหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสมองเราด้วย จึงไม่ได้หมายความว่าเป็นอ่านเกี่ยวกับโรคจิตเภทต่างๆ นะคะ การอ่านหนังสือเป็นการทำความเข้าใจว่าทำไมการคิดบวกถึงสำคัญและจำเป็น พอเราเข้าใจต่อให้เหตุการณ์ลบๆ จะเกิดขึ้นทุกวันเราก็สามารถคิดบวกได้ตลอดเวลาอยู่ดีค่ะ คล้ายๆ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันความคิดลบให้ตัวเองค่ะ4. การใช้เวลาอยู่กับคนที่คิดบวก คนที่เราใช้เวลาด้วยมีส่วนทำให้เราเป็นคนแบบที่เขาเป็น เราอยากเป็นคนคิดบวกก็ต้องใช้เวลาอยู่กับคนคิดบวกค่ะ นอกจากนี้ยังหมายถึงสื่อต่างๆ ที่เราเสพด้วยถ้าเนื้อหาเป็นบวกก็จะช่วยหล่อหลอมให้เราเป็นคนคิดบวกได้ง่ายขึ้น เพราะคนที่คิดบวกเขาจะแนะนำวิธีการมองโลก มองเหตุการณ์และเขายังเป็นต้นตอของกำลังใจให้เราด้วยซึ่งในตอนแรกเราอาจจะมองไม่เห็น เมื่อเรามีกำลังใจ มีความหวังเราจึงมองโลกในด้านดีๆ มีความคิดบวกได้ง่ายๆ ค่ะ เพราะคนคิดบวกเขาจะโฟกัสในเรื่องบวกๆ เท่านั้น ไม่ใช่ว่าในชีวิตเขาไม่มีเรื่องลบเกิดขึ้นนะคะแต่คนคิดบวกเขาได้เรียนรู้มาก่อนเราแล้วว่าการคิดบวกทำให้เราแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ยังไง ปกติผู้เขียนจะกดติดตามเพจที่พูดถึงแต่การคิดบวกค่ะ เช่น เพจของอาจารย์บัณฑิต อึ้งรังษี พอเอาตัวเราไปคลุกคลีกับคนคิดบวกทำให้เราได้ข้อมูลที่ดีกว่ามากๆ ค่ะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง เพราะคนเรามีประสบการณ์ต่างกันแต่เราไม่จำเป็นต้องไปมีประสบการณ์แบบคนอื่น ง่ายสุดและเร็วที่สุดก็เรียนรู้เอาความคิดบวกต่อสถานการณ์หนึ่งจากคนคิดบวกมาเลยค่ะ5. การพูดกับตัวเองด้วยประโยคที่เป็นบวก ข้อนี้หมายถึงการใส่ข้อมูลลงไปในจิตใต้สำนึกของเราด้วยข้อมูลที่เป็นบวกอาจจะด้วยจากการพูดในใจหรือการพูดหน้ากระจกกับตัวเอง หรือพูดกับตัวเองคนเดียวด้วยประโยคที่เป็นบวก เช่นฉันสุขภาพดีฉันเป็นคนโชคดีฉันทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ง่ายๆ สบายๆฉันทำได้การพูดซ้ำๆ กับตัวเองด้วยประโยคที่เป็นบวก ทำให้จิตใต้สำนึกทำงานและนำผู้คน เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับข้อมูลบวกๆ ที่เราพูดไปนั้นปรากฏขึ้นในชีวิตเรา การพูดกับตัวเองนี้ไม่ใช่สถานการณ์เดียวกันกับคนไข้จิตเวชนะคะ คนไข้จิตเวชพูดกับตัวเองจริงแต่คำพูดจะพูดไปเรื่อย ซึ่งจะแตกต่างกับที่เราพูดกับตัวเองเพื่อใส่ข้อมูลลงไปในจิตใต้สำนึกเพราะเรามีสติ และการพูดกับตัวเองนี้หากเป็นไปได้ควรที่จะทำหลังจากตื่นนอนและก่อนจะนอนค่ะ การพูดกับตัวเองด้วยคำพูดบวก เป็นการตัดเอาคำพูดลบๆ ออกเพราะเราแทนที่ด้วยคำพูดบวก จึงทำให้เราโฟกัสเฉพาะความคิดบวกเราจึงกลายเป็นคนคิดบวกได้ค่ะ6. การจดบันทึกสิ่งที่อยากขอบคุณในแต่ละวัน สำหรับผู้เขียนนั้นเลือกที่จะจดบันทึกไว้ในโทรศัพท์ค่ะ การจดบันทึกสิ่งที่เราอยากขอบคุณในแต่ละวันช่วยทำให้เราคิดบวกได้ง่ายขึ้น เพราะความขอบคุณในตัวมันเองคือความรู้สึกที่ดีอยู่แล้ว จึงทำให้เรามองเห็นว่ามีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้างวันนี้ อะไรที่เราใส่ใจจะมีมากขึ้นเสมอเมื่อเรามองหาอะไรดีๆ เราก็จะเจออะไรดีๆ ค่ะ เมื่อเรารู้สึกดีคิดดีการคิดบวกก็ทำได้ง่ายแล้ว เป็นความจริงที่ว่าถึงแม้ว่าในบางวันอาจมีเรื่องลบๆ เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีอะไรดีๆ บ้างอยู่แล้ว อย่างน้อยก็มีบ้านอยู่ มีข้าวกิน อย่างน้อยตอนนี้ก็มีสุขภาพดี เมื่อเรามองหาสิ่งดีๆ ทุกวันแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นก็จะคิดบวกได้มองเห็นทางออกของสถานการณ์หนึ่งได้ค่ะการฝึกคิดบวกในตอนแรกๆ อาจจำเป็นต้องเลือกใช้บางวิธีก่อนที่เข้ากับตัวเองนะคะ แต่พอเริ่มคิดบวกได้คล่องขึ้นผู้เขียนแนะนำให้ใช้ทุกวิธีค่ะ เพราะการใช้หลากหลายวิธีทำให้เรามีความสามารถคิดบวกได้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น และในท้ายที่สุดเราจะมีความมั่นใจมากขึ้นเพราะเราสามารถคิดบวกได้ทุกสถานการณ์ค่ะ ในบางครั้งเรายังสามารถคิดบวกได้ล่วงหน้าได้ด้วยซ้ำไป การคิดบวกก็คล้ายๆ ยาสามัญประจำบ้านค่ะ ซึ่งตอนนี้เราไม่ได้ป่วยอะไรแต่ก็ต้องมียาสามัญประจำบ้านไว้ ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องลบๆ เกิดขึ้นแต่ถ้าเราฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวกได้ก่อน ไม่ว่าสถานการณ์จะมาไม้ไหนเราควบคุมได้หมดค่ะ ใช่อยู่ว่าการคิดบวกยังไม่ใช่ทักษะเดียวที่ต้องมี แต่การคิดบวกได้ถือเป็นการเปิดตาเราให้มองเห็นแนวคิดอื่นๆ มุมมองอื่นในสถานการณ์เดียวกันที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นค่ะ และจากที่เราสามารถคิดบวกได้จึงเป็นสิ่งแรกที่ทำให้เราสามารถอยู่เหนือความคิดลบได้ เพราะถ้าเราไม่คิดบวกแทนที่ก็ยากที่ความคิดลบจะหายไปค่ะ ดังนั้นการฝึกคิดบวกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นตามมา จึงอยากส่งต่อข้อมูล 6 วิธีฝึกคิดบวกให้คุณผู้อ่านได้ลองนำไปประยุกต์ใช้กันค่ะ เพราะผู้เขียนได้ลองใช้แล้วพบว่าสามารถทำให้ตัวเองเป็นคนคิดบวกได้จริงๆ ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความโดย: ผู้เขียนภาพหน้าปกจาก Andrea Piacquadio/Pixelsออกแบบภาพหน้าปกใน Canvaภาพประกอบเนื้อหาจาก: ภาพที่ 1 จาก Sora Shimazaki/Pixels, ภาพที่ 2 Vincenzo Malagoli/Pixels, ภาพที่ 3 Kat Smith/Pixels, ภาพที่ 4 Artem Podrez/Pixelsบทความอื่นที่น่าสนใจ✳️การคิดบวกคืออะไร ทำยังไง? ทำไมต้องคิดบวก กดอ่านเลย✅ทำไมความสุขสำคัญในชีวิตเรา เนื้อหาจากหนังสือหนูดี วนิษา "อัจฉริยะสร้างสุข" กดอ่านเลย✅6 ทักษะที่จำเป็นสำหรับแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน กดอ่านเลย✅เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !