พฤษภาคม 2563 ถือได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ใกล้จะเข้าสู่เดือนที่หกของการแพร่ระบาดแล้ว นับตั้งแต่ช่วงปลายธันวาคม 2562 เป็นต้นมาสถานการณ์ก็ไม่ได้คลี่คลายลง แต่ยังเพิ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กระทั่งช่วงมีนาคม 2563 ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกก็ก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย หลายประเทศเริ่มออกนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ล่มไปมากกว่านี้ โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมใกล้แตะ 4 ล้านราย โดยสหรัฐอเมริกายังคงเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นประเทศในแถบยุโรป หากมองจริง ๆ แล้วจะเห็นว่านับตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่ทางฝั่งเอเชียเริ่มมีมาตรการเข้มงวดโดยยอดผู้ติดเชื้อของ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง กำลังลดลง โดยในวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 ไต้หวันมียอดผู้ติดเชื้อเป็น 0 เป็นวันที่ 9 แล้ว ขณะที่ทางฝั่งยุโรปยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตยังพุ่งสูงจนถึงปัจจุบัน คล้ายกับฝั่งอเมริกา ที่มียอดผู้ป่วยเริ่มพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน 2563 จนถึงปัจจุบันถือว่ายังไม่ได้ลดลงจนเป็นที่น่าพอใจ แน่นอนว่ายอดผู้ติดเชื้อจากโรคโควิด – 19 ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจ เพราะธุรกิจต้องหยุดชะงัก สายการบินไม่สามารถเดินทางได้ หน่วยธุรกิจหลายหน่วยต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรักษาธุรกิจของตนให้ยังดำเนินต่อไปได้ เมื่อเป็นแบบนี้ภาวการณ์จ้างงาน ค่าจ้าง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำจึงเพิ่มมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมต้องหยุดการผลิตเพราะนำเข้าชิ้นส่วนไม่ได้ ปัจจัยเหล่านี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยทั้งโลก ทีนี้ถ้าเรามองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากการแพร่ระบาดของโรควิด – 19 จบลง นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าทางฝั่งของเศรษฐกิจ “เอเชีย” จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าทางฝั่งของ “ยุโรป” หรือภูมิภาคฝั่งตะวันตก ในความคิดเห็นของผู้เขียนคิดว่าเป็นจริง โดยปัจจัยหลักผมมองว่ การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ผ่านมาตรการล็อกดาวน์ และเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้การสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสควบคุมสถานการณ์ของยอดผู้ติดเชื้อได้รวดเร็ว ทำให้มีระยะเวลาในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการของประเทศต่าง ๆ ที่เริ่มอัดฉีดช่วยเหลือประชาชนให้ธุรกิจมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น ในประเทศญี่ปุ่น ธนาคารกลางได้พิจารณาขยายนโยบายผ่อนคลายทางการเงินโดยเพิ่มวงเงินประมาณ 2 ล้านล้านเยนเพื่อช่วยเหลือบริษัทที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งประชาชนด้วยการแจกบัตรเพื่อแลกซื้อเนื้อวัว และเนื้อปลาเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนจีน มีมาตรการทั้งจากรัฐบาล และธนาคารกลาง เช่น การ refinance สินเชื่อในโครงการ "COVID - 19 prevention" เป็นเงินกว่า 5 พันล้านหยวน สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ทำให้บริษัทในเอเชียมีน้ำหล่อเลี้ยงส่วนหนึ่งที่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หากมองในเชิงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าในปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง” อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็สามารถกลับมาได้ภายใน 1 – 2 ปี จากนั้นก็มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าจนเกิดวิกฤติ “ซับไพรม์” ด้วยเหตุผลของการปล่อยสินเชื่อมากเกินไปในกลุ่มลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ในปี 2551 ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบที่หนักดังเช่นยุโรป และอเมริกา โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจของจีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ทีนี้เมื่อกลับมามองประเทศไทยของเรา หลังจบวิกฤตโควิด – 19 การฟื้นทางเศรษฐกิจคงเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ภาพรวมจะเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญส่งผ่านให้สังคมและเศรษฐกิจเป็นไปในรูปแบบดิจิทัลออนไลน์อย่างเต็มตัว ธุรกรรมการเงินจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดยภาคธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง และปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างฐานลูกค้าในระบบออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น โดยพิจารณาได้จากภาคธุรกิจหน่วยต่าง ๆ ได้ดังนี้ ภาคเกษตรกรรม ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 น้อยที่สุด ด้วยมีความมั่นคงทางด้านอาหาร แต่ในแง่ของรายได้ก็เกิดผลกระทบไม่แพ้กันเพราะตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 ราคาสินค้าส่วนใหญ่ลดลง สวนทางกับข้าวที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์กำลังไปได้ดีแต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคมากระทบก็ทำให้ข้าวไทยไม่สามารถส่งออกได้ นอกจากประเทศใกล้ ๆ เช่น มาเลเซีย การฟื้นตัวหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 คงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นเกษตรอาหารปลอดภัย ซึ่งไม่มีการใช้สารเคมีจะทำให้มูลค่าของสินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ และการส่งออกของประเทศไทย ที่เริ่มมีผลกระทบส่วนหนึ่งมาจากการที่เงินบาทของไทยแข็งค่าในช่วงกลางปี 2562 และการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้การนำเข้าชิ้นส่วนต้องหยุดชะงัก พร้อมทั้งไม่สามารถส่งออก และผลิตในประเทศได้ ทำให้หลายบริษัทต้องปรับกลยุทธ์มาใช้ระบบออนไลน์ เพื่อการส่งออก การค้าทั้งในและต่างประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญต่อรายได้ของไทยเป็นอย่างมาก ในปี 2562 มีบทบาทสำคัญถึง 17% ของ GDP ธุรกิจการท่องเที่ยวคงเกิดผลกระทบอย่างหนัก เพราะหลายประเทศอาจมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ อีกทั้งกลุ่มธุรกิจก็เจอปัญหาในเรื่องของเงินทุนหมุนเวียนซึ่งสงผลกระทบเป็นภาพกว้าง ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และกลุ่มการขนส่งที่เกี่ยวข้อง หลังการแพร่ระบาดของโรควิด – 19 ทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชนจึงต้องทำงานอย่างหนักในการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ใช่ว่าที่ผมกล่าวมาทั้งหมดจะมีแต่วิกฤต ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ยังมีโอกาสที่ตัวผมเองคิดว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 นี้ จะทำให้เราได้พัฒนาระบบ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงหลังจากวิกฤตโควิด – 19 โดยตัวผมเองคิดว่าธุรกิจ และการทำงานที่จะเป็นโอกาสให้เกิดขึ้นจะอยู่ภายใต้กรอบของ “New Normal” เช่น ธุรกิจการค้าออนไลน์ ธุรกิจส่งอาหาร ธุรกิจการแพทย์ ธุรกิจการเงินดิจิทัล ด้วยสาเหตุที่คนจะเน้นการใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสาร การค้า และธุรกรรมทางการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้ออีกครั้ง และคนจะหันมาสนใจการดูแลสุขภาพเพื่อวินิจฉัย ติดตามผล วิจัยยาและเวชภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัวมากขึ้น สุดท้ายแล้วในความคิดของผู้เขียนเอง มองว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จบลง แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวได้เร็ว ประเทศไทยของเรามีโอกาสทางการค้ามากยิ่งขึ้นและฟื้นตัวได้เร็วด้วยมีฐานการเงินที่แข็งแรง แต่ต้องดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แม้จะมีวิกฤตแต่ก็มีโอกาส โดยเฉพาะในธุรกิจการค้า สื่อ การศึกษาที่จะอิงอยู่กับระบบดิจิทัล พร้อมด้วยธุรกิจทางการแพทย์ครบวงจรจะมีอิทธิพลและน่าลงทุนเตรียมพร้อมเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จบลง บทความเศรษฐกิจเพิ่มเติม : ผลกระทบจากการตัดสิทธิ "GSP" ของสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย "เงินบาทแข็ง" กระทบการท่องเที่ยวไทยหรือไม่ ? "เด็กจบใหม่" หางานอย่างไรช่วงวิกฤต "COVID-19" ผลกระทบของวิกฤต "COVID-19" ที่มีต่อ "ธุรกิจยานยนต์" บทเรียนจาก "สิงคโปร์" เมื่อการ์ดตก ข้อมูลอ้างอิง : https://th.rti.org.tw/ https://www.facebook.com/arirangtv/ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/877054 Economic Outlook 2020 https://www.ktam.co.th/upload/tb_article_939_1582011421.24009_file1.pdf ภาพถ่ายที่ 1 โดย Annie Spratt on Unsplash /ภาพถ่ายที่ 2 โดย Erik Mclean on Unsplash /ภาพถ่ายที่ 3 โดย Frame Harirak on Unsplash / ภาพถ่ายที่ 4 โดย Mateusz Turbiński on Unsplash / ภาพถ่ายที่ 5 โดย Pete Linforth จาก Pixabay / ภาพถ่ายที่ 6 โดย Pexels จาก Pixabay / ภาพถ่ายที่ 7 โดย Nathan Dumlao on Unsplash /ภาพถ่ายที่ 8 โดย XVIIIZZ on Unsplash / ภาพถ่ายหน้าปกโดย Tan Kaninthanond on Unsplash