เครดิตภาพปก : Peter Patel / Pixabay Ethereum หรือ Ether คืออะไร มีจุดเด่นอย่างไร ทำไมถึงได้เป็นเหรียญอันดับ 2 รองจากบิตคอยน์มาอย่างยาวนาน เชื่อว่าเป็นคำถามในใจของใครหลายคนที่เริ่มเข้ามาศึกษาในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอย่างแน่นอน วันนี้เรามาไขคำตอบให้กระจ่างตั้งแต่ต้นจนจบว่า Ethereum คืออะไร และทำไมเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยอย่างไม่น้อยหน้า Bitcoin มาดูกัน!Ethereum คืออะไร ?อีเธอร์เลียม (Ethereum) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2015 โดยผู้สร้างชาวรัสเซีย "Vitalik Buterin" โดยเขาเชื่อว่า Bitcoin สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่และเปิดกว้างได้มากกว่าการเป็นเพียงสกุลเงิน แต่ในตอนนั้นกลับไม่มีใครที่สนับสนุนแนวความคิดของเขาเลย เขาจึงตัดสินใจสร้างโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Ethereum ขึ้นมา และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบัน “Ethereum หรือ Ether (ETH) กลายเป็นเหรียญอันดับที่ 2 รองจาก Bitcoin (BTC) ในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี” และยังมีกระแสให้พูดถึงมากมายว่า Ethereum นั้นจะขึ้นมาแทนที่ Bitcoin หรือไม่ ซึ่งตรงนี้หลายคนคาดเดาไว้ต่าง ๆ นานา แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครทราบได้Ethereum เป็นรูปแบบ Open-Source เครดิตภาพจาก : Markus Spiske / UnsplashEthereum ถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบ Open-Source นั่นหมายความว่าผู้สร้างนั้นได้เปิดเผย Source Code ของตนเพื่อให้ผู้อื่นสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้โดยไม่ได้คิดค่า Source Code แต่อย่างใด ทำให้มีนักพัฒนาหลายคนได้นำ Source Code เหล่านี้ไปพัฒนาและสร้าง Application ต่าง ๆ มากมายขึ้นบนเครือข่ายของ Ethereum ทำให้ Ethereum ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เรื่องธุรกรรมทางการเงินในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เท่านั้น แต่สามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่น ๆ ในวงกว้างได้อีกมากมาย โดย Application ที่ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายของ Ethereum จะถูกเรียกว่า "Decentralized Application" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "Dapps" · Decentralized Application (Dapps) คืออะไร ?"Dapps" เป็นแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างโดดเด่นและแตกต่างไปจากแอปพลิเคชันทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นชินกัน ซึ่งเป็นแอปฯที่ต้องผ่านการควบคุมจากตัวกลาง แต่ Dapps สามารถทำให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรม กิจกรรม หรือข้อตกลงต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายบล็อกเชนโดย "ไม่ต้องผ่านตัวกลาง"จุดเด่นสำคัญของ Ethereum คือ “Smart Contract”Smart Contract หรือที่เรียกว่าสัญญาอัจฉริยะ เป็นชุดคำสั่งที่ดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติเมื่อครบตามสัญญาหรือข้อตกลงที่ถูกโปรแกรมไว้ในเครือข่ายของ Ethereum ซึ่งเป็นฐานการเก็บข้อมูลด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่าบล็อกเชน (Blockchain) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นระบบที่มีความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูลสูงมากและยากต่อการเปลี่ยนแปลง ผู้ใช้ทุกคนยังสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ ทำให้สามารถมั่นใจว่าธุรกรรมนั้นจะมีความโปร่งใสไร้การทุจริตตัวอย่างเช่น การใช้ Smart Contract ในธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ กรณีที่ผู้ปล่อยเช่าและผู้ให้เช่าได้ตกลงและทำสัญญาอย่างชัดเจนว่าจะมีการจ่ายค่าเช่า 5,000 บาททุกวันที่ 3 ของเดือน มิเช่นนั้นจะมีการตัดน้ำตัดไฟภายในบ้าน สัญญานี้จะถูกบันทึกบนบล็อกเชน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ในภายหลังเหมือนสัญญาที่เขียนด้วยกระดาษทั่วไป ในกรณีที่ผู้เช่าไม่ได้จ่ายค่าเช่าภายในวันที่ 3 ของเดือน ระบบ Smart Contract จะทำการตัดน้ำและไฟโดยอัตโนมัติทันทีตามสัญญา โดยไม่สามารถต่อรองได้ จนกว่าผู้เช่าจะจ่ายค่าเช่าอีกครั้ง ทำให้ได้รับความเป็นธรรมทั้งผู้เช่าและผู้ปล่อยเช่า โดยไม่มีใครสามารถเอาเปรียบกันได้Ethereum เปิดให้ผู้อื่นสามารถเข้ามาสร้าง “Ethereum Token” ได้เครดิตรูปจาก : Executium / UnsplashToken หรือจะเรียกว่าเป็นเหรียญดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในคริปโทเคอร์เรนซีก็ได้เช่นกัน ซึ่ง Token นั้นจะสร้างขึ้นบนบล็อกเชนที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้พัฒนาระบบบล็อกเชนขึ้นด้วยตนเองเหมือนเหรียญสกุลอื่น ๆ ในตลาดคริปโตที่จะมีโปรเจกต์เกิดขึ้นและพัฒนาระบบบล็อกเชนในเครือข่ายของตนเอง ปัจจุบัน Token ได้เกิดขึ้นมาในตลาดคริปโตกว่า 1,000 สกุล และใช้ระบบประมวลผลเดียวกับ Ethereum จะเรียกว่าพึ่งบารมีของ Ethereum ก็ว่าได้ เพราะเหตุนี้เองทำให้ Token มีความน่าเชื่อถือแม้เป็นเหรียญน้องใหม่ในตลาดก็ตามหลายคนอาจเกิดความสงสัยว่าการที่ Ethereum เปิดให้สามารถสร้าง Token ได้นั้นจะเป็นจุดแข็งของ Ethereum ได้อย่างไรกัน แท้จริงแล้วมันมีนัยสำคัญมากกว่านั้น การที่ Ethereum เปิดให้มีการสร้าง Token บนเครือข่ายของตนเองนั้นก็เพราะทุก ๆ การทำธุรกรรมของ Token จะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียม (Gas) เป็นสกุลเงิน Ether (ETH) นั้นหมายความว่ายิ่งมี Token ในเครือข่ายของ Ethereum มากเท่าไหร่ ความต้องการเหรียญ ETH ก็จะมากขึ้นเท่านั้น ทำให้มูลค่าของเหรียญสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ Ethereum อยู่ในอันดับ 2 ของตลาดคริปโตมาอย่างยาวนานนั้นเองEthereum มีแพลตฟอร์มบล็อกเชน ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมากเนื่องจากคนใช้งานในเครือข่ายของ Ethereum มีเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นจาก Dapps , Smart Contract หรือ Token นั้นล้วนใช้เครือข่ายบล็อกเชนของ Ethereum ในการเก็บข้อมูลทั้งสิ้น ความน่าเชื่อถือของบล็อกเชนก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้งานหรือคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย (Node) ยิ่งมีมากเท่าไหร่ข้อมูลก็จะถูกกระจายสำเนาเข้าไปเก็บมากเท่านั้น และทำให้ข้อมูลถูกเปลี่ยนแปลงหรือโจรกรรมได้ยากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะการที่จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกเชนได้จะต้องสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้เกินครึ่ง และ “แพลตฟอร์มบล็อกเชนของ Ethereum ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้มากที่สุดในปัจจุบัน” ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้ยังไม่มีใครโค่นอันดับ 2 ของ Ethereum ลงได้Ethereum เป็นเหรียญที่มีจำนวนไม่จำกัดแตกต่างจากบิทคอยน์ (Bitcoin) อย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก ETH นั้นเป็นเหรียญที่ไม่ได้ถูกจำกัดจำนวนไว้อย่างชัดเจน หลายคนอาจสงสัยว่าหากเป็นเช่นนี้แล้วมูลค่าของเหรียญ ETH นั้นจะเกิดการเฟ้อจนเหรียญล้นตลาดหรือไม่ แท้จริงแล้ว ETH นั้นยังเป็น Supply ที่มีความต้องการใช้ค่อนข้างสูง เนื่องจากบนเครือข่ายของ Ethereum ไม่ว่าจะเป็น “Dapps, Smart Contract หรือ Token ต่างต้องใช้เหรียญ ETH ในการจ่ายค่าธรรมเนียม (Gas fee) เสมอ” Ethereum 2.0 คืออะไร ? เครดิตภาพจาก : WorldSpectrum /Pixabay Ethereum เตรียมอัพเกรดตนเองเป็น Ethereum 2.0 เนื่องจากเครือข่ายของ Ethereum ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานเรียกได้ว่ามหาศาลเลยทีเดียว ทำให้ระบบการทำงานของ Ethereum เองเริ่มมีปัญหาในเรื่องของความรวดเร็วในการประมวลผลและค่าธรรมเนียมที่สูงเป็นพิเศษ ทำให้ผู้สร้าง Ethereum เล็งพัฒนาระบบเป็น Ethereum 2.0Ethereum 2.0 จะเปลี่ยนจากการขุดเหรียญ (Proof-of-work) มาใช้ระบบ “Proof-of-Stake” หรือเรียกว่าเป็นระบบการวางเงินค้ำประกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ยืนยันการทำธุรกรรม โดยกระบวนการเลือกผู้ยืนยันธุรกรรมนั้นจะเลือกจากผู้ที่มีเหรียญ Ether ในขั้นต่ำ 32 ETH เพื่อให้ตนได้เข้าไปอยู่ในเครือข่ายของผู้ยืนยันธุรกรรม (Validator) บนบล็อกเชนหากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ “เปรียบเสมือนเป็นเงินค้ำประกัน” ในการบันทึกธุรกรรม ยิ่งมีเงินค้ำประกันมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะถูกเลือกให้เป็นผู้ยืนยันการทำธุรกรรม และได้รับค่าตอบแทนจากการยืนยัน เสมือนกับการขุด โดยที่ไม่ต้องแย่งกันขุดเหมือนกับวิธี Proof-of-Work ที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมหาศาล โดยการอัพเกรดนั้นไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ Vitalik Buterin ผู้สร้าง Ethereum ได้วางแผนการอัพเกรด Ethereum 2.0 ไว้ทั้งหมด 4 Phase ด้วยกันคือ Phase 0, 1, 2 และ 3· Phase 0 ถูกเปิดตัวออกมาในวันที่ 1 ธันวาคม 2020 โดยยังไม่ได้เปิดให้มีการประมวลผลธุรกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถทำได้เพียงฝากเงิน ที่ 32 ETH หรือราว ๆ 4 แสนบาท และจะไม่สามารถถอดได้จนกว่า Phase 1 จะเสร็จสมบูรณ์· Phase 1 และ Phase 2 นั้นคาดการณ์ไว้ว่าจะเสร็จภายในปี 2021 โดยที่ Phase 1 นั้นสามารถเริ่มทำการประมวลผลยืนยันธุรกรรมต่าง ๆ และได้รับค่าตอบแทนเสมือนการขุดเหรียญ ในส่วนของ Phase 2 จะเป็นการปรับเปลี่ยน Ethereum Chain 1.0 มาเป็น Ethereum Chain 2.0 แบบไร้รอยต่อ· และสุดท้าย Phase 3 เป็น Phase ที่ระบบ Ethereum 2.0 เสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2022 นั้นเองเมื่อ Ethereum 2.0 เปิดตัวใช้งานอย่างเสร็จสมบูรณ์ แน่นอนว่าความต้องการ ETH จะต้องเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากคนต้องการนำ ETH ไปใช้เป็นเงินค้ำประกันในการทำการบันทึกธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทน และสิ่งนี้เองจะทำให้ ETH มีมูลค่าพุ่งสูงมากยิ่งขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเทรดเหรียญคริปโตที่คุณชื่นชอบกับ Bitkub กระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำโดยคนไทย ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://www.bitkub.com/*การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุน* อ้างอิง : coinmarketcap , fool.com/investing , investopediaเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !