รีเซต

เสี่ยงปิด“ฮอร์มุซ” ดันพลังงาน-เกษตร พุ่ง แนะธุรกิจเร่งรับมือ

เสี่ยงปิด“ฮอร์มุซ”  ดันพลังงาน-เกษตร พุ่ง แนะธุรกิจเร่งรับมือ
TNN ช่อง16
25 มิถุนายน 2568 ( 14:35 )
16

นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีความไม่แน่นอนว่าอิหร่านจะตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่นั้น สรท. มีข้อเสนอแนะสำหรับให้กับผู้ผลิต และผู้ส่งออก ในการปรับตัวเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ดังนี้ 

1. เร่งป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน

- เตรียมพิจารณาปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน/เพิ่ม stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ ทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สองทาง

- สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งในระดับครัวเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในระยะยาวได้เช่นกัน

- เพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นทดแทน อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว บรูไน เป็นต้น

2. บริหารความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล

- ผู้ส่งออกต้องวางแผนร่วมกับผู้ซื้อปลายทาง ถึงรูปแบบการขนส่งทางเลือกอื่น เช่น การเปลี่ยนไปขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น อาทิ Jeddah Port (Saudi Arabia), Salalah Port (Oman) เป็นต้น และขนส่งทางบกต่อไปยังพื้นที่ปลายทาง ด้วยการทำ Inland Transport โดยตรวจสอบว่าผู้นำเข้าสามารถเดินพิธีการทางศุลกากร เพื่อนำสินค้าจากท่าเรืออื่นนั้นได้หรือไม่ หรือสายเรือ/ผู้ให้บริการมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อวางแผนล่วงหน้ากรณีสถานการณ์เป็นไปในทิศทางลบมากขึ้น

- พิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น

- ผู้ส่งออกต้องติดตามข้อมูล Customer Advisories บนเวปไซต์ของสายเรือ หรือสอบถามสายเรือที่ใช้บริการให้ชัดเจน ถึงเส้นทางเดินเรือ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.68 สหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการโจมตีทางทหารครั้งสำคัญต่ออิหร่าน มุ่งเป้าไปที่โรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนัก และยกระดับความตึงเครียดในตะวันออกกลางสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ และสหรัฐฯ ได้ออกมายืนยันความสำเร็จของปฏิบัติการที่ใช้ชื่อรหัสว่า "มิดไนท์ แฮมเมอร์" (Midnight Hammer) โดยระบุเป็นการกระทำเพื่อขจัดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติจากโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

ขณะที่อิหร่าน ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าวอย่างรุนแรง พร้อมทั้งมีมาตรการตอบโต้สำคัญ คือ รัฐสภาอิหร่านลงมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดในโลก แต่ยังมีขั้นตอนการตัดสินใจขั้นสุดท้าย จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC) และการรับรองจากอยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด

สำหรับช่องแคบฮอร์มุซ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเส้นทางพลังงานของโลกจากแหล่งน้ำมันดิบสำคัญในภูมิภาค ซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบอ่าวเปอร์เซียไปสู่ลูกค้าในภูมิภาคอื่นทั่วโลก โดยในปี 2566 มีปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบ ประมาณ 20.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่าหนึ่งใน 1 ใน 5 ของปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลก ซึ่งมาจากซาอุดีอาระเบีย 16.1% (โดยเฉลี่ย 6.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน) อิรัก 8.1% (โดยเฉลี่ย 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5.2% (โดยเฉลี่ย 2.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน) คูเวต 4.6% (โดยเฉลี่ย 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) อิหร่าน 4.5% (โดยเฉลี่ย 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน) โอมาน 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ กาตาร์ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

แม้ไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง และขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก โดยในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์ เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย โดยนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่ากับ 28% ซาอุดิอาระเบีย 20% กาตาร์ 7% คูเวต 2%

ดังนั้น หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน และเนื่องจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ต้องนำเข้าน้ำมันจะได้รับผลกระทบพร้อมกัน กลายเป็นแรงกดดันในการจัดหาซัพพลายพลังงานโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น และหากไม่สามารถขนส่งมายังไทยได้ อาจเกิดภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันดิบในภาคการผลิตเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงภาคขนส่งของไทยส่วนใหญ่ ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ไทยยังมีการนำเข้าปุ๋ย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับภาคการเกษตรจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% จากมูลค่านำเข้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็น ซาอุดิอาระเบีย 27.71% กาตาร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3% ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเกษตรของไทยพุ่งสูงขึ้น เกิดผลกระทบต่อทั้งค่าครองชีพของผู้บริโภคในประเทศ และคำสั่งซื้อจากคู่ค้าในตลาดโลก

อนึ่ง ภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ถือเป็นตลาดที่สำคัญของไทย โดยมีสัดส่วนส่งออกในปี 2567 เท่ากับ 3.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ตัวอย่างสินค้าที่เริ่มชะลอคำสั่งซื้อ เพื่อรอดูถานการณ์ให้ชัดเจนมากขึ้นได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่สินค้ายานยนต์ จะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซในวงจำกัด เพราะสามารถขนส่งผ่านท่าเรือเจดดาห์ และท่าเรืออื่นในทะเลแดง

ขณะที่การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล เบื้องต้น สรท.ประเมินไว้ว่าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ท่าเรือหลักในอ่าวเปอร์เซีย อาทิ Jabel Ali , Doha, Dammam มีโอกาสที่จะถูกปิด รวมถึงโครงข่ายการให้บริการโดยเรือ Feeder อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และจะกระทบส่งออกไปทุกประเทศในอ่าวเปอร์เซียทั้งหมด

โดยข้อมูลจากนักวิเคราะห์ (Linerlytica) ระบุว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณตู้คอนเมนเนอร์ ราว 3.4% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก หรือคิดเป็น 21 ล้าน TEU จากปริมาณตู้ทั้งหมดจำนวน 33.2 ล้าน TEU ซึ่งหมุนเวียนในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ขณะที่ท่าเรือของอิหร่านเอง ก็ต้องพึ่งพาเส้นทางดังกล่าว เพื่อขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 2.5 ล้าน TEU เช่นกัน ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่นผ่านท่าเรือของ UAE ด้วย

อย่างไรก็ตาม สรท.ได้ติดตามสถานการณ์ และหารือกับสายเรือตลอดว่าจะยกเลิกการขนส่งหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังสามารถเดินเรือได้ตามปกติ โดยจะติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทราบว่าควรดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ภาคเอกชนสามารถเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ได้ทันที

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง