วินัยการคลัง–กติกาการเมือง จัดการเงินเทา ฐานเศรษฐกิจไทยต้องเดินต่อ

งานสัมมนา Thailand Confidence 2026: ขับเคลื่อนความเชื่อมั่นสู่อนาคต ซึ่งจัดโดย TNN ช่อง 16 ตลอดทั้งวัน เป็นเวทีสะท้อนภาพประเทศไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผ่านมุมมองจากภาครัฐ นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และผู้แทนผู้ประกอบการ โดยทุกเวทีอภิปรายชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ความเชื่อมั่นประเทศ” ไม่สามารถสร้างได้จากมาตรการระยะสั้น แต่ต้องอาศัยโครงสร้างที่มั่นคง โปร่งใส และต่อเนื่อง

ผู้ดำเนินรายการของ TNN เปิดเวทีด้วยโจทย์สำคัญว่า ปี 2026 จะเป็นปีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของไทย ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การแบ่งขั้วอำนาจของมหาอำนาจ และความเปราะบางทางการเมืองภายในประเทศ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่คือความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาประชาชนและนักลงทุน

ด้าน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า แม้สถานการณ์การเมืองจะนำไปสู่การยุบสภาเร็วกว่ากำหนด แต่กรอบนโยบายเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าตามแผน เนื่องจากออกแบบบนสมมติฐานว่าเวลาการบริหารมีจำกัดตั้งแต่ต้น นโยบายที่ดำเนินการจึงมุ่งเน้นมาตรการ Quick Win ที่ทำได้จริง กระจายผลประโยชน์ได้รวดเร็ว และสามารถต่อยอดในระยะยาว โดยย้ำหัวใจสำคัญคือการไม่ก่อหนี้ใหม่ และการรักษาวินัยการคลัง เพื่อประคองเครดิตประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือในช่วงก่อนหน้า พร้อมระบุว่า ความเชื่อมั่นจากต่างประเทศเริ่มกลับมา เมื่อเห็นความชัดเจนด้านกรอบการคลังและความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ

ขณะที่ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมาอย่างยาวนาน และในปีล่าสุดยังขยายตัวรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากประเทศยังขาดเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ พร้อมเชื่อมโยงปัญหาเศรษฐกิจกับโครงสร้างการเมือง โดยชี้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เปิดช่องให้เกิดความไม่แน่นอนทางอำนาจ ส่งผลให้รัฐบาลขาดความต่อเนื่อง นักลงทุนประเมินทิศทางประเทศได้ยาก และนโยบายระยะยาวเดินหน้าได้อย่างจำกัด

อีกประเด็นที่ถูกย้ำอย่างชัดเจน คือภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะแหล่งฟอกเงินจากเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและเงินสีเทา โดย ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า หากรัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และแยกระบบเศรษฐกิจออกจากอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจะไม่กลับมา เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและความแน่นอนของกติกาเป็นลำดับแรก

ด้าน ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย สะท้อนเสียงจากภาคธุรกิจว่า ผู้ประกอบการกว่า 99.5% ของประเทศเป็นกลุ่ม Micro และ Small SME หากกลุ่มนี้ยังไม่มั่นใจ เศรษฐกิจภาพใหญ่ยากจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจช่วยให้เงินหมุนเวียนในระยะสั้น แต่โจทย์สำคัญคือการเข้าถึงแหล่งทุน การลดกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อรายย่อย และการยกระดับทักษะแรงงานให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคใหม่