จิตดลบันดาลสู่ความปรารถนาทุกสิ่งที่ใจต้องการ ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อเจ้อ แต่ถ้าหากได้ศึกษาแบบเจาะลึกแล้วจะเข้าใจได้ว่า การจะปรารถนาอยากได้อะไรก็ตามแต่ เราต้องยอมรับว่าเราอยากได้จริงๆ เราจำเป็นต้องได้มาจริงๆ ไม่ใช่เอาแต่พร่ำบ่นว่ายาก มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ ผลงานการเขียนของ Roxie Nafousi แปลโดย ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ หากใครชอบและอยากลงลึกถึงแนวคิดการใช้จิตดลบันดาลตามความคิดโน้มนำให้เกิดความเชื่อจนนำไปสู่ความเป็นจริง ครีเอเตอร์แนะนำเลยครับ ความรู้ความประทับใจที่ได้ภายในเล่มได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งแรงดึงดูดระบุว่าสิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน แปลว่า ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของเรามีพลังงานดึงดูดคนที่มีลักษณะทางใจเหมือนเราเข้ามาหา ถ้าเราเปลี่ยนความคิดก็พอจะโน้มความรู้สึกให้เปลี่ยนตาม ได้เรียนรู้ว่าออกแบบความฝันให้เจาะจง มีรายละเอียดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ภาพจิตดลบันดาลเป็นจริง เช่น บ้านในฝัน มีห้องนอนแบบไหน การจัดวางของในบ้านเป็นอย่างไร เราดึงดูดสิ่งที่เรารู้สึก ต่อเมื่อเราเห็นภาพสิ่งที่เราต้องการและสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ในการถือครองสิ่งนั้น ได้เรียนรู้ว่าเราต้องปล่อยวางตัวตนที่เราเคยเป็นและตัวตนที่เราคิดว่าควรจะเป็นก่อน เพราะหลายคนมีสมมติฐานในจิตใต้สำนึกว่าตัวเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทำให้ไม่ไว้วางใจตัวเอง ขอให้ทุกเช้าวันใหม่ เคารพตัวตนที่เราเป็นและตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็น โดยไม่ถูกจำกัดจากอดีตที่เคยประสบมา ได้เรียนรู้ว่าความเชื่อที่บั่นทอนเกิดขึ้นเมื่อความคิดหนึ่งถูกตอกย้ำซ้ำๆจนกลายเป็นอัตโนมัติจนขับเคลื่อนพฤติกรรม เช่น เราโตมาโดยมีคนบอกอยู่ตลอดเวลาว่าเราไม่สมควรได้รับความรัก เราจะเชื่อว่ามันจริง ชีวิตเราก็จะยอมรับการปฏิบัติที่ไม่ดี ความสัมพันธ์เป็นพิษจากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าเสียงในใจที่พูดให้เราไม่มั่นใจในตัวเองจะเบาเพียงใด ให้ดึงออกมาและจดลงไป ความคิดนั้นแม้จะฟังดูไร้เหตุผล ไม่มีตรรกะแค่ไหนก็ให้เขียนลงไป การที่เราตระหนักรู้รายละเอียดของความกลัวและความกังขาแต่ละอย่างของตัวเอง มีแต่จะช่วยเสริมพลังให้เราปล่อยวางได้ดีขึ้นเท่านั้น ได้เรียนรู้ว่าหลายคนเชื่อว่าการพูดถึงตัวเองอย่างมั่นใจจะทำให้เราหยิ่ง หลงตน โอ้อวด เราจึงยอมใช้ภาษาที่ดูถูกตัวเองและถ่อมตัว เพื่อให้ตัวเองเป็นที่รักใคร่ชอบพอยิ่งขึ้น เวลามีคนชื่นชมแสดงความยินดี แล้วเราก็ตอบว่าไม่หรอก ไม่จริงเลย....นั่นเป็นการลดคุณค่าของตัวเอง ตั้งแต่นี้ไปเราต้องตั้งใจฝึกเปิดรับและซาบซึ้งเมื่อได้รับคำชมให้มากกว่าเดิม แล้วตอบกลับว่าขอบคุณ เป็นการเริ่มเปลี่ยนจิตใต้สำนึกว่าเราสมควรได้รับมัน ได้เรียนรู้ว่าหากสมองกำลังนึกภาพสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด กลัวที่สุดกลายมาเป็นความจริง การนึกภาพเหล่านี้ซ้ำๆทำให้วิตกกังวล ไม่มั่นใจ และความกังขาแข็งแกร่งขึ้น ให้เรานึกภาพผลลัพธ์ที่ดีที่เป็นไปได้มาแทนที่ คล้ายกับเปลี่ยนช่องทีวี เช่น อยากเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่กลัวจะผิดหวังจนได้เห็นภาพว่าตนไม่ได้เข้าเรียนอย่างที่หวัง ก็ให้เปลี่ยนช่องด้วยการนึกภาพว่าตนสอบผ่านแล้วจริงๆ เพื่อน DM มาบอกว่าเราสอบเข้าได้แล้วนะ พ่อแม่ดีใจที่เราสอบผ่านแล้วพาไปฉลองที่ภัตตาคาร จินตนาการผลลัพธ์ที่ปรารถนาซ้ำไปมาในสมองจะช่วยลดทอนความกลัว เอื้อให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นไปได้จริง ได้เรียนรู้ว่าหากปราศจากการรักตนเอง จิตดลบันดาลก็ไม่อาจเกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะทำ Vision Boards และพูดถึงชีวิตที่เราใฝ่ฝัน ถ้าหากในแต่ละวันที่ผ่านไปเรายังคงปฏิบัติต่อตนเองอย่างไม่เคารพและให้เกียรติ การรักตนเองที่แท้จริงคือ การเห็นคุณค่าความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขของตนเองอย่างแท้จริง ยืนหยัดเพื่อตัวเอง ปกป้องตัวเองไม่พูดเชิงลบกับตัวเอง โอบรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง รู้จักเมตตา อดทนรอ และให้อภัยกับตัวเองได้ ได้เรียนรู้ว่าเราต้องปล่อยวางบางส่วนของอดีตที่ทำให้เรารู้สึกถึงภาวะอารมณ์ Low Vibes (ความรู้สึกผิด ความละอายใจ ความโกรธ) และมอบการให้อภัย การไม่ตัดสินโดยสมบูรณ์ให้ตัวเองแทน โดยยอมรับว่า...1.เราทำดีที่สุดแล้ว 2.เราได้รับบทเรียนอันมีค่าจากทุกประสบการณ์ที่เผชิญ 3.เราไม่ใช่คนเดิมคนเดียวกับเราในเวลานั้น เราเติบโตขึ้น ดีขึ้น เก่งขึ้นในทุกๆวัน ได้เรียนรู้ว่าแกล้งทำมันไปจนเราจะกลายเป็นสิ่งนั้น ศรัทธาและลงมือทำ จนกว่าเราจะได้สิ่งที่ปรารถนา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิตของเรา เรารับรู้ถึงความกลัวแต่ก็ลงมือทำอยู่ดี ผู้เขียนยกตัวอย่างเพื่อนของเธออยากเป็นไลฟ์โค้ช แต่กลัวว่าจะสอนไปแล้วคนไม่เชื่อถือ หลักการแกล้งทำมันไปจนกว่าจะเป็นสิ่งนั้น โดยถ้าเราเป็นโค้ชที่ว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบไหน โฆษณาตัวเองอย่างไร เอาเวลาไปทำอะไร สร้าง Content พัฒนาตัวเอง มีตัวตนในโลกออนไลน์ สร้างผู้ติดตาม ฯลฯ ปรับพฤติกรรมสอดคล้องกับตัวตนที่อยากจะเป็น แม้เขาไม่มั่นใจ แต่จักรวาลก็มอบรางวัลให้เขา ได้เรียนรู้ว่าทุกครั้งที่เราปลงใจรับตัวเลือกหนึ่ง โดยที่มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้จริงๆ เท่ากับเราปิดกั้นตัวเองจากการใช้จิตดลบันดาล เช่น อยากให้งานเขียนของเราได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เอ แต่สำนักพิมพ์บีมาเสนอตัวก่อน เราจึงเลือกสำนักพิมพ์บี เพราะกลัวว่าถ้ารอสำนักพิมพ์เอ มันอาจไม่ได้รับการตอบกลับให้ตีพิมพ์ มันคือความกลัวและกังขาว่าเราจะบันดาลให้ฝันเป็นจริงได้หรือ ? ส่วนหนึ่งเพราะอดทนรอไม่ไหว จึงตัดสินใจคว้าสิ่งที่ดีรองลงไปจากภาพฝันที่ตั้งใจไว้ ได้เรียนรู้ว่าเวลาที่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปอย่างที่เราวาดหวัง เช่น สอบเข้า Oxford ไม่ได้ ผู้หญิงที่เราหมายปองตกลงปลงใจไปกับคนอื่นแล้ว เรื่องแบบนี้ทำให้เราถูกสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อจิตดลบันดาล แท้จริงแล้วนั่นคือโอกาสที่ให้เรายืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างความเข้มแข็. ยืดหยุ่น และความกล้าหาญภายในให้เกิดขึ้นพร้อมกัน ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราโกรธ ขุ่นเคืองแค้นใจ อยู่ในภาวะ Low Vibes วิธีแก้คือใช้ความรู้สึกสำนึกรู้คุณ โดยหยุดคิด หามุมสงบ ซาบซึ้งถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง กับครอบครัวเพื่อนฝูงของตนเอง กับแสงอาทิตย์สาดส่องชวนอบอุ่น (เราซาบซึ้งจริงไม่ได้ครบทุกเรื่องหรอก แต่จะมีบางเรื่องซาบซึ้งได้เสมอ ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่เป็นสากลโลก มีอะไรให้เราซาบซึ้งได้เสมอ ถ้าเราคิดอย่างดี) ได้เรียนรู้ว่าการสำนึกรู้คุณจากสิ่งที่มีอยู่ในมือแล้วโดยไม่มีเงื่อนไข เป็นพื้นฐานของจิตดลบันดาล หลายคนเข้าใจว่าต้องมีแรงขับถึงจะคว้าบ้านหลังใหม่ ได้เลื่อนขั้น ได้โบนัสเพิ่ม ถึงจะรู้สึกสำนึกรู้คุณ ซึ่งแบบนั้นเป็นแรงขับจากความกลัว ได้เรียนรู้ว่าการบ่มเพาะความสำนึกรู้คุณต้องอาศัยการฝึกสติมากขึ้น พยายามมีสติเต็มร้อยไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เช่น ทำงาน ออกกำลังกาย อยู่กับครอบครัว การนั่งสมาธิก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มสติได้จากการสังเกตรู้ว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกดีร้ายอย่างไร ไม่ใช่จิตสงบ จิตว่างท่าเดียว เมื่อฝึกสำนึกรู้คุณมากขึ้นจะสามารถยินดีกับคนรอบตัวที่ประสบความสำเร็จได้โดยไม่ริษยาอย่างแท้จริง (ซึ่งสอดคล้องกับหลักการทางพุทธ) ได้เรียนรู้ว่าเวลาที่เราไม่วิตกกังวลว่าจะได้สิ่งที่ปรารถนามาได้อย่างไร (ฐานะการเงิน คนรัก ตำแหน่งงาน สุขภาพ) เพราะรู้ดีว่าจะได้มาในมือ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น จิตดลบันดาลเริ่มต้นได้ถ้าเรากล้าที่จะฝัน มีความหวังกับสิ่งที่ปรารถนาที่เราอยากให้มันเป็นจริง หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน ทำให้การกระทำของเขาไม่เอื้อตรงกับที่เขาปรารถนา และสิ่งที่ปรารถนาก็ไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ขัดขวางจิตดลบันดาลคือความกลัวและความกังขาว่าจักรวาลจะส่งมอบสิ่งที่เราปรารถนาด้วยวิธีไหน ฉะนั้น เราจึงต้องรักตัวเองให้พอจนเรารู้สึกว่าเราคู่ควรกับสิ่งดีๆ เราเปลี่ยนจากคนที่เคยถูกลบหลู่มาเป็นคนใหม่ที่เก่งกว่าเดิมได้ เรารักตัวเองมากพอ เราจะไม่กังขาเลยว่าปัจจัยแวดล้อมจะมารังแกอะไรเราได้อีก แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการลงมือทำ เราไม่อาจนั่งอยู่บ้านเฉยๆแล้วรอด้วยจิตดลบันดาลคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เครดิตภาพภาพปก โดย wirestock จาก freepik.comภาพที่ 1 2 3 และ 4 โดยผู้เขียน บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ THE MAGIC OF THINKING BIG คิดใหญ่ ไม่คิดเล็กรีวิวหนังสือ GOOD VIBES, GOOD LIFE ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุขรีวิวหนังสือ THE BETTER ME MODEL ฮาวทู เกลา ชีวิตให้ดีกว่าเดิมรีวิวหนังสือ “เดอะท็อปซีเคร็ต”รีวิวหนังสือ จงรักในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !