เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways และมีแนวโน้มอ่อนตัวหากระดับ 1,670+- จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนมาในทางลบหลังเซี่ยงไฮ้ประกาศ Lockdown 9 วันเพื่อสกัดการระบาดของโควิดระลอกใหม่ รวมถึงกดดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวลงกว่า 3% กดดันกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ส่วนสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกคาดเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะในเดือน มี.ค. เป็นต้นไป ขณะที่เงินเฟ้อทั่วโลกยังคงเร่งตัว ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะ Stagflation มาขึ้นและกดดันสินทรัพย์เสี่ยง
สำหรับไทยถูกกระทบทางอ้อมในภาคการส่งออก รวมถึงกำลังซื้อที่ชะลอจากราคาน้ำมันที่สูง อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นบวกระยะยาวจากการผ่อนคลายมาตรการของศบค.โดยเฉพาะการเดินทางเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมเราจึงยังคงมุมมองบวกต่อกลุ่ม Value และ Domestic Play ซึ่งทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะ FED ที่ตึงตัวได้ดี กลุ่มที่เราชอบยังคงเป็น ธนาคาร ค้าปลีก อสังหาฯ อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ เป็นต้น
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในกลุ่ม Value และ Domestic Play ที่กระทบจากปัจจัยต่างประเทศจำกัดและได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
หุ้นเด่นเดือนมี.ค. : BDMS, CPALL, OSP, PJW, TOP
หุ้นเด่นวันนี้:JR
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10 บาท
• กำไรผ่านจุดต่ำสุดใน 4Q21 และจะฟื้นตัวใน 1Q22 ก่อนเร่งตัวแรงใน 2Q22 เป็นต้นไปจากงานที่เดินหน้าเร็วขึ้นหลัง COVID-19 คลายตัว ระยะสั้นคาดเห็นความร่วมมือกับ Partner ในธุรกิจสถานีชาร์จ E-Bus ในเร็วๆนี้
• เราคาดว่า Backlog ของ JR จะพุ่งขึ้นทะลุ 1 หมื่นลบ.จากโอกาสได้งานโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดินเฟส 2 ของรถไฟฟ้าสีเหลือง-ชมพูซึ่งคาดว่าจะมีข้อสรุปใน 2Q22 คาดกำไรปี 2022 +65 Y-Y
• แนวรับ 7.40-7.30 บาท แนวต้าน 7.80//8 บาท
Fund Flow:เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาค US$463 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$431 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินผสมผสานไหลออกบางๆทุกประเทศ แต่ยังคงไหลเข้าอินโดนีเซียหนาแน่น US$85 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนมาในทิศทางไหลออก จีนกลับมา Lockdown เซี่ยงไฮ้บางส่วนอีกครั้ง ขณะที่ผลกระทบจากสงครามยังเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด วาง Filter แนวรับดัชนี SET ที่ 1,670 กรณียืนได้ถือพอร์ตต่อ แต่หากหลุดแนวรับปรับพอร์ตลงไปรอซื้อที่บริเวณ 1,650 – 1,660 แนะนำซื้อเก็งกำไร ESSO, BCP (+ค่าการกลั่น ) KSL, KBS( +ราคาน้ำตาลโลกปรับขึ้นอยู่ที่ 19.61 เซ็นต์)
TOP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 67.00 บาท) คาดเห็นทิศทางค่าการกลั่นทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 1H65 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ในระยะสั้น 1Q65 คาดผลการดำเนินงานของ TOP มีกำไรสุทธิ เติบโต QoQ, YoY ปัจจัยหนุนจากการใช้กำลังการผลิตและ Market GIM ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยค่าการกลั่นฟื้นตัวแข็งแกร่ง และการบันทึกกำไร Inventory Gain ช่วยชดเชย Crude Premium ที่แพงขึ้น ส่วนต่างราคา BZ น้ำมันหล่อลื่นที่ลดลง สำหรับปี 65 เราประเมินกำไรปกติ 9.65 พันล้านบาท +131%YoY ธุรกิจโรงกลั่นที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก และยังมีการบันทึกกำไรพิเศษใน 2Q65 จากการลดสัดส่วนการลงทุนใน GPSC ลงเหลือ 10%
SINGER* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 58.75 บาท) ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาผ่านเฟรนไชน์อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าสาขาเฟรนไชน์อยู่ที่ 7,000 สาขาในปีนี้(จาก 3,250 ในปี64) ด้านธุรกิจพอร์ตสินเชื่อยังคงเติบโตได้ดีโดยเฉพาะธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทำเงิน (C4C) ซึ่งใน 4Q64 ที่ผ่านมาสามารถขึ้นไปแตะที่ระดับ 6 พันลบ. โดยทางบ.ตั้งเป้าปีนี้พอร์ตรวม(C4C+HP+Captive)จะสามารถเติบโตอยู่ที่ระดับ 1.55 หมื่นล้านบาท (จาก 4Q64 อยู่ที่ราว 1.1 หมื่นล้านบาท) นอกจากนี้ทางบ.เองยังมีปัจจัยบวกจากการร่วมมือกับพันธมิตร อย่างเช่น การ ร่วมทุนกับ GUNKUL JMART เปิด JGS เพื่อจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้กับกลุ่มรายย่อย/ครัวเรือน โดยสินค้าแรกที่จำหน่ายคือ Solar Rooftop Solutions และ Private PPA เป็นต้น ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 จะขยายตัวได้ต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.48 บาท/หุ้น, และ 2.08 บาท/หุ้น ตามลำดับ
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้อยู่ที่ 1660-1690 จุด (สัปดาห์ที่ผ่านมา1676จุด /-0.1%) โดยตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะมีความผันผวนตามสถานการณ์ยูเครน การรุกหนักของสหรัฐฯ และการที่ รัสเซียไปเน้นการรบที่ Donbas ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณบวกต่อตลาด แต่ข่าวสารยังสามารถพลิก ได้ตลอดเวลา
สถาบันต่างๆ เริ่มออกมาลด GDP ปีนี้ของโลกกันแล้ว ล่าสุด Fitch’s และ Barclays ปรับลดลง 0.7-0.9% ตลาดเริ่มกังวลเรื่องนี้ และจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถูกจำกัดการสูงขึ้น(รวมน้ำมัน) ตลาดโลกสนใจ Fed น้อยลง แต่ให้น้ำหนักในทางบวกจากยูเครนมากขึ้น จึงเห็นแรงซื้อหุ้นกลับกันแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาถึงไทย เพราะเม็ดเงินน่าจะเข้าไทยด้วย แต่จะเป็น selective buy มากกว่า
จีน Lockdown อาจมีผลต่อการค้าจีน ท่องเที่ยวไทย และกลุ่ม logistics ปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจไม่ได้ตามเป้า
ทั้งนี้ แม้ข่าวยูเครนช่วงวันหยุด จะออกมาในโทนบวก แต่ตลาดยังผันผวน ตราบที่การเจรจายังไม่พัฒนา ไปสู่การหยุดยิง การลงทุนช่วงนี้จึงควรเน้นเล่นสั้นๆ ควรพร้อมซื้อ-ขาย ตามข่าวยูเครนในแต่ละวัน
หุ้นไทยที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ยูเครนมีค่อนข้างน้อย หุ้นส่วนใหญ่จะเป็นลบมากกว่า หุ้นที่ ราคาลงมามากๆ ที่เราสนใจ อาทิ CPF,CBG,KCE
หุ้นกลุ่มอิงรายได้จากการท่องเที่ยว น่าเก็บ AOT, CENTEL, CRC รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวอาทิ EA, NEX, TRUE
copy trade ฝรั่งซื้อหุ้นวันก่อน :PTTEP, ADVANC, BBL
พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำ SPRC, JMART ออกจากพอร์ต และนำ CRC, SCB เข้ามาแทน พอร์ตหุ้นประกอบด้วย CRC(10%), SCB(10%), CENTEL(10%), BLA*(10%), EA*(10%) , SYNEX(15%)
Strategy Stock Pick
EA*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 96.50 บาท) “รายได้จากโรงแบตเข้า 2Q22, โรงงาน EV บัสเร่งเดินเครื่อง”
• โรงงานแบตเดินเครื่องปัจจุบันมี U-Rate อยู่ที่ 10% บ. ประเมินจะเริ่มรับรู้รายได้นับตั้งแต่ 2Q22 หนุนโรงงานประกอบ EV บัสให้เร่งเดินเครื่อง
• เตรียมพร้อม Operate รถ EV mini bus หลังตั้ง บ. E-Transport พร้อม License 37 เส้นทาง และสามารถเดินรถได้สูงสุด 1200 คัน
• Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 8.8 พัน ลบ. และ 1.1 หมื่น ลบ. +44%YoY, 26%YoY ตามลำดับ
Technical : AS, PROEN