รูปภาพหน้าปกโดยผู้เขียนบทความนี้เป็นบทความที่ต่อจากบทความ รีวิววิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งในบทความนี้จะเป็นการกล่าวถึงวิชาเอก รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) ของวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ระดับปริญญาตรีโดยเฉพาะ โดยเราจะได้ปริญญา รัฐศาสตรบัณฑิต (ร.บ.) หรือ Bachelor of Political Science (B.Pol.Sci.) หากสำเร็จการศึกษาในเอกนี้ ซึ่งใช้เวลาในการศึกษา 4 ปี ค่าเทอมเป็นแบบเหมาจ่าย เทอมละ 13,000 บาท หรือ 104,000 บาท ตลอดหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ คืออะไรผมเชื่อว่าหลายคนแค่ได้ยินชื่อวิชาเอกนี้ก็งงแล้ว แถมชื่อเรียกก็ยากอีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม ถ้าจะกล่าวกันตามตรงแล้ว วิชาเอกนี้มีความหมายถึง การศึกษาการทำงานของภาครัฐทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ อ้าวววว... ยิ่งไม่เห็นภาพกันเข้าไปใหญ่ งั้น...เอาเป็นว่า ลองดู คลิปนี้ เพื่อทำความเข้าใจพื้นฐานก่อนว่ารัฐประศาสนศาสตร์คืออะไร มีขอบเขต แนวคิดและทฤษฎีอย่างไรเรียนอะไรบ้างหากกล่าวตามความเป็นจริง เราจะเห็นได้ว่าการศึกษาแทบทุกศาสตร์ในประเทศไทยจะถูกกำหนดโดยส่วนกลาง จึงทำให้หลัก ๆ แล้วในวิชาเอกนี้แทบจะไม่แตกต่างจากการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์กระแสหลักที่มีให้เรียนกันโดยทั่วไปเลย นั่นคือ ศึกษาเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ ทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และการบริหารการเงินการคลังสาธารณะ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้รัฐประศาสนศาสตร์ที่นี่แตกต่างจากที่อื่น จนแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นอีกกระแสหนึ่งของการศึกษาในศาสตร์นี้เลยก็ว่าได้ นั่นคือ การที่มีวิชาอย่างการบริหารจัดการเครือข่ายภาคสาธารณะ หรือการเมืองการปกครองท้องถิ่น มากไปกว่านั้น ยิ่งในวิชาแกนซึ่งเป็นกลุ่มวิชาที่นิสิตวิทยาลัยการเมืองการปกครองทุกคนต้องเรียนนั้นมีวิชา เช่น การเมืองเรื่องความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน การเมืองและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภาคอีสาน ให้เรียนด้วยแล้ว ดังนั้น จึงทำให้นิสิตที่เรียนที่นี่เข้าใจศาสตร์นี้ทั้งในฐานะที่เป็นองค์ความรู้สากลหรือที่เป็นกระแสหลัก และในฐานะที่เป็นองค์ความรู้ที่ถูกผูกโยงเข้าไว้กับท้องถิ่น ชุมชน วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ของคนในระดับรากหญ้าขอบคุณรูปภาพจาก Free-Photos ใน pixabayการทำวิจัยในวิชาเอกรัฐประศาสนศาสตร์เรื่องที่ปวดหัวมากสำหรับการจะจบปริญญาตรี นั่นคือ การทำวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่โชคดี (หรือไม่นะ) ที่บางสาขาหรือบางวิชาเอกไม่ต้องมีเรื่องนี้ให้วุ่นวาย ทว่ากับรัฐประศาสนศาสตร์ที่นี่มันไม่ใช่ โดยวิจัยที่นิสิตทำภายใต้การศึกษาของวิชาเอกนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะผูกโยงอยู่กับพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการจัดการขยะ การท่องเที่ยว การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นความร่วมมือ ค่านิยม ทัศนคติและความพึงพอใจ รวมไปถึงประเด็นแรงจูงใจและขวัญกำลังใจขอบคุณรูปภาพจาก Picography ใน pixabayจบมาแล้วทำงานอะไรปลัด? เดี๋ยวๆๆ อย่าพึ่งครับอย่าพึ่ง คนส่วนใหญ่มักคิดว่านิสิตที่เรียนเอกนี้ “จะต้อง” จบมาแล้วเป็นปลัดกันทุกคน ไม่ว่าจะทั้งปลัดอำเภอ หรือปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่เอาอย่างนี้ครับ คือว่าเราลองกลับไปดูวิชาที่สอนในศาสตร์นี้ ได้แก่ นโยบายสาธารณะ ทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และการบริหารการเงินการคลังสาธารณะ ดังนั้น สาขาอาชีพมันจะเป็นอะไรก็ได้ภายใต้วิชาที่เราเรียนมา ยิ่งในปัจจุบันการประกาศรับสมัครงานส่วนใหญ่ล้วนระบุว่า “ปริญญาตรีทุกสาขา” ว่ากันตามตรงนะครับ หากสายงานที่ไม่ใช่สายงานที่มีความเฉพาะเจาะจงมาก ๆ เช่น หมอ วิศวะ ทนาย เหล่านี้ การจบการศึกษาจากไหนมาก็ทำงานได้หมดหล่ะครับ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่หาความมั่นคงเป็นหลักประกัน และต้องการตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ด้วยการเป็นข้าราชการนั้น สายงานที่จบจากวิชาเอกนี้ อาจจะได้แก่ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ผู้ช่วยผู้จัดการ นักทรัพยากรบุคคล ปลัด ตำรวจ นักพัฒนาสังคม/ชุมชน เจ้าหน้าที่ศาลปกครอง รวมไปถึงครูสอนระดับประถม/มันธยม และอาจารย์สอนในระดับมหาวิทยาลัย (สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไป) มากไปกว่านั้น ยังมีสายอาชีพอื่นอีกมากมายที่นิสิตที่จบจากเอกนี้สามารถทำได้ เช่น ผู้ช่วยนักวิจัย นักวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล ครีเอเตอร์ นักเขียน หรือฟรีแลนอื่น ๆ ก็ทำได้เช่นกันขอบคุณรูปภาพจาก geralt ใน pixabayรัฐประศาสนศาสตร์ยังจำเป็นอยู่ไหมในโลกทศวรรษที่ 20ผมเห็นว่ามันยากพอสมควรที่จะตอบคำถามดังกล่าวให้สั้นและเข้าใจมากที่สุด แต่ผมคิดว่าในโลกที่งานหลาย ๆ ตำแหน่งอาจถูกแทนที่ด้วย AI หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่มีความทันสมัยและตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการได้ดีกว่า เอาอย่างนี้นะครับ อย่างที่กล่าวไปข้องต้น คือว่า รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาการทำงานของภาครัฐทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ประกอบกับคนจบมาส่วนใหญ่ก็ล้วนเห็นว่าสายงาน เช่น ปลัด ตำรวจ นักพัฒนาสังคม/ชุมชน ยังคงสำคัญ ดังนั้น การเปลี่ยนโครงสร้างเหล่านี้ กล่าวคือ การให้หุ่นยนต์มาทำงานแทนปลัด ตำรวจ หรือนักพัฒนาสังคม/ชุมชน ผมเกรงว่ามันจะเป็นไปได้ยากมากสำหรับประเทศไทย เราต้องยอมรับครับว่าทุกที่ไม่เหมือนกรุงเทพฯ ทุกที่ไม่เหมือนในเมืองใหญ่ การดำเนินชีวิต คุณภาพชีวิต และสิ่งอำนวยความสะดวกของแต่ละที่มันแตกต่างกัน ดังนั้น ผมจึงเห็นว่าศาสตร์นี้ยังคงพอไปได้กับยุคสมัยขอบคุณรูปภาพจาก Obsidianphotography ใน pixabayเอาเป็นว่าพอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น สำหรับผู้ที่อยากจะเรียนอะไรที่กว้าง ๆ แต่สามารถเชื่อมโยงความรู้เข้ากับท้องถิ่น/ชุมชน/สังคมหรือโลกแห่งความเป็นจริงได้ รวมถึงวิเคราะห์สิ่งรอบตัวผ่านกรอบการบริหาร/จัดการของทั้งภาครัฐหรือเอกชน ก็เชิญเลือกเรียนวิชาเอกนี้เลยครับทว่า หากเห็นว่ามันยังไม่สุด เราต้องการจะวิพากวิจารณ์สังคมให้ลึก ครบทุกแง่มุมอย่างรอบด้าน และดุเด็ดเผ็ดมันส์กว่านี้ ก็เชิญอ่านบทความต่อไปได้เลยนะครับยังไม่สุดท้าย...แต่ก็ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาลัยการเมืองการปกครอง