เข้าเมษาหน้าร้อน หนึ่งในวิธีการดับร้อนของคนไทยคือการดื่มชา แม้ชาสมัยนี้เป็นเครื่องดื่มแบบเย็น ชาไข่มุกแบบไต้หวันที่เป็นที่นิยมของคนในยุคนี้ เป็นพัฒนาการของวัฒนธรรมดื่มชาที่คนไทยมีมาตั้งแต่อดีต ในขณะที่คนทั่วโลกดื่มชามากกว่า 800 ล้านถ้วยในแต่ละวัน นั่นจึงทำให้เราเห็นว่า วัฒนธรรมการดื่มชาเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกมีร่วมกัน และทำให้สิ่งเหล่านี้สะท้อนวิถีชีวิตของคนแต่ละชาติ รวมทั้งคนไทยได้อย่างชัดเจนรูปภาพโดย Harry Cunningham : Unsplashหลายคนเข้าใจผิดว่าการดื่มชาเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเข้าใจได้เพราะวัฒนธรรมการดื่มชาของเมืองผู้ดีมีความเข้มข้นมาก เรียกได้ว่าทุกเพศทุกวัยต่างดื่มชาเป็นกิจวัตร มีการระบุเวลาการดื่มชาอย่างเป็นระบบ และชาวอังกฤษเองก็ถือปฏิบัติธรรมเนียมนี้มาอย่างเคร่งครัด แต่ความจริงแล้ววัฒนธรรมการดื่มชาเริ่มต้นขึ้นในภูมิภาคเอเชียของเรานี่เอง และต้องบอกเลยว่า แม้หลายคนจะทราบดีว่าประเทศที่ผลิตชาได้มากที่สุดในโลกคืออินเดีย แต่การดื่มชาครั้งแรกเกิดขึ้นที่สาธารณรัฐประชาชนจีนวัฒนธรรมการดื่มชาของจีนครั้งแรกไม่ใช่เรื่องที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น ว่ากันว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดจากการที่ฮ่องเต้องค์หนึ่งกำลังดื่มน้ำร้อน แล้วมีเศษใบไม้ตกลงไปในถ้วย เมื่อฮ่องเต้บังเอิญได้ลองชิมแล้วพบว่า น้ำในถ้วยนั้นมีรสชาติดีและทำให้รู้สึกสดชื่นได้อย่างน่าประหลาด จึงสั่งให้มีการคิดค้นนำใบไม้ต่าง ๆ มาผสมลงในน้ำ จนในที่สุดได้พบว่าใบชาเป็นพืชที่ให้รสชาติได้ดีที่สุด และด้วยความรู้ด้านการแพทย์ที่พวกหมอพอจะมีอยู่ในยุคนั้น จึงทำให้ชาเป็นมากกว่าเครื่องดื่มธรรมดา แต่ยังพบว่าสามารถใช้เป็นยาถอนพิษได้เช่นกันรูปภาพโดย Philip Gluckman : Unsplashแล้วคนไทยรู้จักการดื่มชาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้ต้องสืบค้นจาก จดหมายเหตุฉบับซิมง เดอ ลา ลูแบร์ (Du Royaume de Siam) เด็กประวัติศาสตร์ทุกคนรู้ดีว่าเป็นบันทึกของฝรั่งที่เล่าเรื่องกรุงศรีอยุธยาได้ชัดเจนที่สุด จดหมายเหตุฉบับนี้บันทึกเอาไว้ว่า คนสยามรู้จักดื่มชาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นวัฒนธรรมที่กระทำกันในการรับแขก ช่วงแรกการดื่มชาจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น เป็นการชงชาด้วยกาทองแดงบุด้วยตะกั่ว เรียกว่า กาบอลิ เป็นกาประเภทเดียวกับที่ชาวสแกนดิเนเวียนใช้ต้มน้ำชาในปัจจุบันรูปภาพโดย Ashhsu : Pixabayต่อมาเมื่อชาวจีนเข้ามาอาศัยมากขึ้น การดื่มชาของชาวสยามจึงแพร่หลายไปยังชาวบ้าน มีการใช้กาดินเหนียวในการต้มชา มีวิธีการที่เป็นลักษณะเฉพาะในการชงชาคือ ต้องราดน้ำร้อนลงบนกาดินเหนียวก่อน จากนั้นจึงใส่ใบชาแล้วเทน้ำให้ท่วม แล้วใช้น้ำร้อนราดลงบนกาดินเหนียวไปเรื่อย ๆ และต้องคอยชิมและเติมน้ำร้อนไปจนกว่าน้ำชาจะมีสีและรสพอดี จึงจะสามารถนำมาดื่มได้ ซึ่งเป็นวิธีการดื่มชาแบบชาวจีน ชาที่ไม่เติมน้ำตาลซึ่งต่างจากการดื่มชาในแถบยุโรป ที่มักเติมน้ำตาลทรงลูกบาศก์ลงไปในถ้วยชา จดหมายเหตุฉบับนี้ยังบอกอีกว่า การดื่มชาของคนกรุงศรีฯ เป็นกิจวัตรที่ทำกันเป็นสากล หากมาร่วมวงดื่มชาแล้วต้องดื่มจนฟืนมอดไฟ หากใครปฏิเสธไม่ดื่มชานั้นถือว่าเป็นคนไร้มารยาทไม่เพียงเท่านั้น การดื่มชากลายเป็นวัฒนธรรมของคนทุกชนชั้น คนกรุงศรีอยุธยาดื่มชาเป็นเครื่องดื่มรองจากน้ำต้ม แม้กระทั่งบาทหลวงหลายกลุ่มที่เดินทางมาเผยแผ่คริสตศาสนา ยังบันทึกเอาไว้ว่าตามตลาดหลายแห่งมีชาขาย ทั้งชาที่มาจากอินเดีย ชาลังกา ซึ่งมีรสชาติแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ผู้รากมากดีจะดื่มชาที่มาจากจีน เพราะเป็นชาชนิดเดียวกับที่ชาวจีนนำถวายฮ่องเต้ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เส้นแบ่งประเทศทำให้เกิดประเทศไทย การปลูกชาเริ่มแพร่หลายโดยเฉพาะทางภาคเหนือ เชื่อกันว่าระยะแรกชาวเขาเป็นผู้นำชามาปลูกก่อน เราจึงพบว่ามีอารยธรรมการปลูกชาที่เก่าแก่อยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน และแพร่รูปภาพโดย Joanna Kosinska : Unsplashวัฒนธรรมการดื่มชาไม่เคยหายไปไหน แม้กระทั่งสมัยปัจจุบัน การดื่มชากาแฟยามเช้าคู่กับปาท่องโก๋ หนือขนมไทยหลากหลายชนิด ก็เป็นกิจวัตรที่นิยมทำกันสืบต่อเรื่อยมา แต่ในยามเที่ยงก็รู้จักดัดแปลงมาเป็นชาเย็น ที่ทำให้หวานด้วยนมข้นและน้ำตาล ระยะแรกได้รับความนิยมมากในเขตพระนคร ก่อนที่จะแพร่หลายกลายเป็นเครื่องดื่มของคนทุกวัย ในที่สุดก็มีการรับวัฒนธรรมของแต่ละชาติมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพสังคม จากชานมเย็นธรรมดากลายเป็นชานมไข่มุก ซึ่งเป็นพัฒนาการที่มีรากเหง้าเดียวกันคือ วัฒนธรรมดื่มชาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว สะท้อนวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดีรูปภาพหน้าปกโดย Manki Kim : Unsplash