ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.dialogue-in-the-dark.com/locations/venue/bangkok/ Dialogue in the dark ที่นี่คือนิทรรศการแห่งหนึ่งที่รู้สึกว่าสร้างความประทับใจเป็นอย่างมากและได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่คุ้มค่าจากที่นี่ Dialogue in the dark ตั้งอยู่แถวสามย่านในตึกจามจุรีแสควร์ โดยเป็นนิทรรศการที่ทำให้เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบคนพิการทางสายตาซักครั้งในชีวิตเมื่อหลายปีก่อนได้มีโอกาสไปเยือนนิทรรศการแห่งนี้ และกลับออกมาด้วยความประทับใจที่เต็มล้นหัวใจขอบคุณรูปภาพจาก http://www.dialogue-in-the-dark.com/locations/venue/bangkok/ภายในห้องจัดแสดงจะแบ่งออกเป็นห้อง ๆ (คิดเอาเองเพราะมองไม่เห็น) ข้างในนั้นมืดสนิทแบบที่เราไม่เห็นแม้กระทั่งมือของตัวเอง เราได้ยินแค่เสียงเท่านั้น ตอนนั้นมีเพียงไม่กี่เสียงที่ได้ยิน ถ้าไม่นับเสียงของสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็คงได้ยินแค่เสียงเรา เสียงเพื่อน และเสียงไกด์นำทาง ไกด์นำทางในที่นี้ก็คือผู้พิการทางสายตา ซึ่งแน่นอนว่ามีความเชี่ยวชาญกับการใช้ชีวิตอยู่ในความมืดยิ่งกว่าพวกเราทุกคนรวมกัน แต่ตลอดเวลานับชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกัน มีเพียงเสียงเท่านั้นที่เราได้ยิน ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันและกันเลยแม้แต่น้อย เราอาจจะสนิทกันตอนอยู่ในนั้น แต่เมื่ออยู่ข้างนอกเราคงเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าต่อกันระหว่างทางที่อยู่ในนั้นรอบตัวมืดมาก มืดไปหมด มีแต่เสียงรอบ ๆ ตัวที่คอยบอกบรรยากาศรอบข้างเราเท่านั้น เมื่อตาใช้ไม่ได้เราก็ต้องสัมผัสแทน มีหลาย ๆ สิ่งที่ไกด์ลองให้เราลูบคลำดูแล้วทายว่ามันคืออะไร แน่นอนว่าผู้พิการทางสายตานั้นจับเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าคืออะไร ซึ่งถ้าคิดผ่าน ๆ (มองผ่าน ๆ ไม่ได้เพราะไม่เห็น)คงคิดว่าผู้นำทางคือคนปกติดี เพราะน้ำเสียงนั้นสุภาพ นุ่มและสุขุมเกินกว่าจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรที่แปลกไปขอบคุณรูปภาพจาก Photo by Ninette June from Pexels เวลาที่อยู่ในนั้นจะคอยจับมือเพื่อนและร้องถามอยู่เสมอให้รู้ว่ายังอยู่ข้างกัน หลังจากผ่านไปนับชั่วโมงที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่านานขนาดนั้น เราได้รับอนุญาตให้นำเงินติดตัวเข้าไปด้วยเล็กน้อย ที่เราก็จำได้ว่ามันมีเท่าไหร่และประกอบไปด้วยธนบัตรหรือเหรียญชนิดใดบ้าง เมื่อมาถึงห้องสุดท้าย ไกด์จะให้พวกเราได้มีโอกาสลองใช้เงินกันในความมืด ซึ่งถ้าเป็นเหรียญยังแยกง่ายหน่อย แต่ถ้าเป็นธนบัตรคงมีปัญหาไม่น้อย แต่ในจุดนี้ที่เรารู้ว่าเงินที่พกเข้าไปมีเท่าไหร่จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะแยกแยะมันจำได้ว่าตอนนั้นซื้อปลาเส้นมาห่อหนึ่ง จากนั้นก็มาคุยกับไกด์ระหว่างที่กินไปพลาง ๆ มองไม่เห็นหรอกว่าเป็นปลาเส้นจริงหรือเปล่า แต่สัมผัสและรสชาตินั้นไม่มีทางหลอกเราหลังจากคุยกับไกด์อยู่ครู่หนึ่งก็ได้ลองถามถึงสิ่งที่สงสัยมานาน ว่าคนตาบอดมีความฝันหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่ามี แต่ส่วนมากจะมาในรูปของเสียงเสียมากกว่า และคนที่พิการในภายหลังยังฝันเห็นเป็นภาพในบางครั้งหลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องจบลง เราเริ่มชินและสนุกกับการใช้ชีวิตในความมืดเสียแล้ว แต่ก็เชื่อว่าชีวิตจริงที่มองไม่เห็นนั้นคงไม่ได้น่าสนุกเสียเท่าไหร่เคยฟังข่าวหนึ่งที่ไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันยังมีอยู่หรือเปล่า ที่มีร้านอาหารแห่งหนึ่งให้เราลองสัมผัสประสบการณ์ของผู้พิการทางสายตา ด้วยการให้กินอาหารในความมืดขอบคุณรูปภาพจาก https://www.flickr.com/photos/timothymwilliams/5626645288นับว่าเป็นความท้าทายที่อยากลองดูสักครั้งในชีวิต...