สองสามวันมานี้มีประเด็นที่ร้อนแรง สะเทือนวงการสุขภาพและสังคมวัฒนธรรมระดับโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อประเทศซูดานออกกฎหมายห้ามขลิบอวัยวะเพศหญิง (Female Genital Mutilation) หลังจากที่การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญต่อผู้หญิงซูดานมาหลายชั่วอายุคน เรียกว่าผู้หญิงซูดานทุกคนเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ จะต้องเข้าสู่พิธีกรรมขลิบอวัยวะเพศ ด้วยความเชื่อว่าเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ แสดงถึงการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์กรพิทักษ์สตรีทั่วโลก องค์การสหประชาชาติ หรือแม้กระทั่งองค์การอนามัยโลก ต่างก็ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวกันอยู่เรื่อย ๆ ตามที่เราเห็นในข่าว จนมาถึงวันนี้ ซูดานนับเป็นประเทศแรก ๆ ที่กำหนดนโยบายให้การขลิบอวัยวะเพศหญิงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายแต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นั้น ผู้เขียนอยากบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวให้ได้รู้กันว่า การขลิบอวัยวะเพศหญิงของหลายชุมชนบนโลกนี้ แม้จะเป็นพิธีกรรมที่เชื่อกันว่าเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งดีงามที่สตรีทุกคนต้องทำ แต่กลับเป็นสาเหตุสำคัญให้ผู้หญิงหลายรายที่ถูกขลิบอวัยวะเพศ ต้องติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน การสืบพันธุ์ และที่สำคัญเป็นพิธีกรรมที่สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนถึงแก่ชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และปัจจุบันหลายพื้นที่ยังคงยึดถือประเพณีดังกล่าวอยู่ โดยเฉพาะหลายชนเผ่าในทวีปแอฟริกา อินโดนีเซีย อียิปต์ เอธิโอเปีย และอีกหลายแห่งทั่วโลกตามที่ผู้เขียนได้เคยศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาบ้าง ทำให้รู้ว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิง ส่วนมากจะทำกันในชนเผ่าที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น และยังคงยึดถือวิถีการใช้ชีวิตแบบเดิม ขอเล่าย้อนไปยังอารยธรรมอียิปต์ ซึ่งในเอกสารหลายฉบับเชื่อว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิงมีต้นแบบมาจากอารยธรรมแห่งนี้ ความโหดร้ายทารุณของพิธีกรรมนี้คือ เมื่อหญิงสาวเริ่มมีประจำเดือน นั่นแสดงว่าพร้อมที่จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หญิงสาวผู้นั้นต้องเข้าพิธีเปลี่ยนผ่านวัยของตนเอง สิ่งสำคัญคือต้องทำการขลิบอวัยวะเพศ ซึ่งเรียกว่า พิธีฟาโรนิค ถ้าจะให้เล่าแบบเจาะลึกลงไป การขลิบอวัยวะเพศทำได้หลายวิธี อาจจะตัดเพียงคลิตอริส (Clitoris) ซึ่งสมัยที่ผู้เขียนเรียนชั้นมัธยม คุณครูที่สอนวิชาสุขศึกษาก็จะสอนเราด้วยการเปรียบเทียบแบบน่ารักว่า คลิตอริส คือ เม็ดละมุด ทำให้รู้สึกไม่เคอะเขินเวลาเรียนเรื่องนี้ หรือบางชนเผ่าจะตัดทั้งเม็ดละมุด แคมเล็กและแคมใหญ่ ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน ทั้งเชื่อว่าเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้อวัยวะเพศหญิงได้ทำงานอย่างเต็มที่ หรือบางแห่งอาจใช้เหตุผลด้านสุขอนามัยมาเป็นข้ออ้างให้เด็กสาวเข้าสู่พิธีกรรมดังกล่าวมาเล่าถึงพิธีฟาโรนิคของอารยธรรมอียิปต์กันต่อ ในกระดาษปาปิรุสบันทึกไว้ว่า พิธีนี้จะทำขึ้นในตอนกลางคืน หญิงสาวที่เข้าสู่พิธีกรรมนี้จะต้องถูกปิดตา มีหญิงอาวุโสคอยจับแขนจับขา เมื่อถึงฤกษ์พิธีแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่ขลิบอวัยวะเพศหญิงจะใช้ของมีคม (ปัจจุบันหลายพื้นที่ใช้มีดโกน) ตัดเม็ดละมุด และส่วนอื่น ๆ ออกจากอวัยวะเพศ แล้วใช้หนามต้นไอวี่หรือเส้นเอ็นของแมวเย็บแผลให้เหลือเป็นช่องขนาดเล็กเพื่อใช้ปัสสาวะเท่านั้น หากเป็นเด็กสาวที่ประจำเดือนมาตั้งแต่อายุยังน้อย จะต้องถูกมัดขาให้ติดกันเพื่อป้องกันไม่ให้แผลฉีกขาด และต้องใช้สมุนไพรในการสมานแผลจนกว่าจะหายดี หากจะให้จินตนาการถึงบรรยากาศของพิธีฟาโรนิค คงจะได้ยินแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะการขลิบอวัยวะเพศหญิงแล้วใช้วัสดุอันหยาบกระด้างเย็บแผลให้ติดกันนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ใช้ยาสลบหรือยาชา ความเจ็บปวดของหญิงสาวยุคนั้นจึงแทบไม่ต้องจินตนาการว่ามันโหดร้ายทารุณขนาดไหนแต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ แม้เวลาจะผ่านมานานหลายพันปี เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้าและทันสมัยเพียงใด แต่หลายชนเผ่ายังคงทำพิธีกรรมดังกล่าวอยู่ โดยมีความโหดร้ายไม่ต่างจากอารยธรรมอียิปต์โบราณเลยด้วยซ้ำ บางพื้นที่เชื่อว่าหากผู้หญิงคนใดที่ไม่เข้าพิธีดังกล่าว จะกลายเป็นหญิงสกปรก ไม่มีผู้ชายคนใดแต่งงานด้วย บางพื้นที่ที่ต้องการให้บุตรสาวทำหน้าที่ในกองทัพตลอดชีวิต จะทำการขลิบอวัยวะเพศหญิงแล้วเย็บให้เหลือช่องสำหรับปัสสาวะเท่านั้น เรียกว่าเป็นการใส่กุญแจไม่ให้อวัยวะเพศหญิงทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์ได้อีกเลย จนมีการเรียกร้องถึงสิทธิสตรีและปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการขลิบอวัยวะเพศ มีผู้ป่วยหลายรายที่เป็นบาดทะยักจากใบมีดโกนที่ไม่สะอาด บางรายมีประจำเดือนมากผิดปกติ ปัสสาวะติดขัดต้องใช้เวลานานหลายนาทีอย่างที่เรารู้กันดีว่า ยุคนี้สิทธิสตรีเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้ง การขลิบอวัยวะเพศก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ โชคดีของผู้หญิงชาวซูดานที่วันนี้พิธีสุดโหดดังกล่าวกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เชื่อว่าอีกหลายคนรวมทั้งผู้เขียนเองจะมีความหวังว่าอีกไม่นาน ทุกประเทศทั่วโลกที่มีพิธีกรรมดังกล่าวอยู่ จะหันมาตระหนักถึงปัญหาจากการขลิบอวัยวะเพศ เมื่อความดีงามในอุดมคติของพิธีกรรมสวนทางกับสุขอนามัยทางเพศ ซ้ำยังเป็นการละเมิดสิทธิของมนุษย์ การยุติความเชื่อผิด ๆ จึงควรต้องเร่งทำ ให้เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นมายาวนานหลายร้อยปี เป็นบทเรียนที่จะช่วยปกป้องผู้หญิงอีกหลายชีวิต ไม่ให้ประสบปัญหาทางเพศอีกในอนาคตรูปภาพหน้าปก โดย Moritz320 : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 1 โดย OpenCliparts-Vectors : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 2 โดย PeterW1950 : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 3 โดย Smahel : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 4 โดย TBIT : Pixabay