อนุชา พร้อมดันนิวเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีให้ดียิ่งขึ้น แนะเพิ่มกิจกรรม สร้างความตื่นเต้น ดึงดูดนักท่องเที่ยว
อนุชา พร้อมดันนิวเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีให้ดียิ่งขึ้น แนะเพิ่มกิจกรรม สร้างความตื่นเต้น ดึงดูดนักท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 เวลา 09.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานและมอบนโยบายเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โดยมีผู้บริหาร ผู้แทนภาคเอกชน และผู้แทนประชาชนเข้าร่วม
นายเบญจพล นาคประเสริฐ กรรมการบริหาร ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) กล่าวรายงานการดำเนินงานของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โดยเริ่มต้นจากความร่วมมือของชุมชนที่ต้องการให้เกิดการกระจายรายได้ในพื้นที่ด้านการเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ซึ่งตั้งแต่มีการก่อตั้งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ประชาชนในพื้นที่เกิดรายได้จากการรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน เช่น วิสาหกิจการผลิตอาหารสัตว์ ในชุมชนแม่เหียะ ชุมชนสุเทพ ชุมชนหนองควาย และชุมชนบ้านปง จากผลสำรวจพบว่าชุมชนเกิดการสร้างงานเพิ่มขึ้น 25% ทั้งนี้ ชุมชนมีความกังวลว่าการบริหารงานขอเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีที่ได้เคยช่วยเหลือชุมชน หากเกิดการโอนเปลี่ยนการดำเนินงานไปยังองค์กรสวนสัตว์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
รัฐมนตรีประจำประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังรับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินกิจการของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีว่า รัฐบาลพร้อมส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวมาโดยตลอด ทำให้เกิดรายได้เข้าสู่ประเทศ สร้างรายได้สู่ชุมชน สู่ท้องถิ่น ทำให้ประชาชนมีรายได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีนั้น ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลพร้อมจะผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม อยู่ในองค์กรที่มีสภาพคล่องในการดำเนินงาน ที่สำคัญจะต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วยคนในองค์กรและคนในชุมชน ขออย่าได้กังวลถึงการเปลี่ยนแปลง เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงแล้วทำให้แย่กว่าเดิม ตนเองจะรู้สึกผิดและไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ขอยืนยันพร้อมให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงเป็นองค์กรที่มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ ขอให้จัดกิจกรรมที่หลากหลายเพิ่มความน่าสนใจ สร้างความตื้นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น พร้อมกับสร้างบรรยากาศให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเข้าไปอยู่ในสถานที่จริงๆ เช่น การกำหนดธีมแต่งกาย โดยให้เปลี่ยนชุดซาฟารีก่อนจะเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ เพื่อความสมจริง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ต้องทำสถานที่ท้องถิ่นนิยมให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นที่รู้จักเฉพาะคนในท้องถิ่น แต่ต้องทำให้เป็นรู้จักของนักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง พร้อมกับต้องร่วมมือก้าวไปข้างหน้าเติบโตไปพร้อมกันของทุกภาคส่วน จะต้องไม่แยกกันเติบโต เพราะการท่องเที่ยวเป็นพลังสำคัญในการผลักดันสร้างรายได้ให้กับประเทศ และคนในชุมชนต่อไป