รีเซต

เฮอริเคน “เมลิสซา” พายุลูกยักษ์ที่แรงที่สุดในปี 68 ถล่ม “จาเมกา” พังราบ

เฮอริเคน “เมลิสซา” พายุลูกยักษ์ที่แรงที่สุดในปี 68 ถล่ม “จาเมกา” พังราบ
TNN ช่อง16
29 ตุลาคม 2568 ( 09:00 )
17

ประเทศจาเมกาเผชิญความเสียหายครั้งใหญ่หลังพายุเฮอริเคน “เมลิสซา” พายุที่รุนแรงที่สุดของมหาสมุทรแอตแลนติกในปี 2568 พัดขึ้นฝั่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ใกล้เมืองนิวโฮป ด้วยความเร็วลมสูงสุดถึง 185 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือราว 297 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจัดอยู่ในพายุระดับ 5 ตามมาตราแซฟเฟอร์-ซิมป์สัน ถือเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 5 ลูกแรกที่ขึ้นฝั่งในแถบแอตแลนติกนับตั้งแต่ปี 2562 ที่พายุ “ดอเรียน” พัดเข้าถล่มบาฮามาส


พายุ “เมลิสซา” ทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมแรง และคลื่นซัดฝั่งรุนแรงต่อเนื่องหลายวันทั่วทะเลแคริบเบียน ตั้งแต่เฮติและสาธารณรัฐโดมินิกันจนถึงจาเมกา ขณะนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมีการสำรวจในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก

แรงลมมหาศาลทำให้บ้านเรือนจำนวนมากได้รับความเสียหายอย่างหนัก อาคารหลายแห่งหลังคาถูกพัดปลิวออก และเกิดน้ำท่วมฉับพลันในเมืองแมนเดวิลล์ ทางตอนกลางของเกาะ สถานการณ์ในหลายพื้นที่ถูกอธิบายว่า “เกินกว่าจะรับมือได้”


หน่วยงานพยากรณ์อากาศ AccuWeather ประเมินเบื้องต้นว่าความเสียหายและความสูญเสียทางเศรษฐกิจของจาเมกาอาจสูงถึง 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8.2 แสนล้านบาท ขณะที่นายกรัฐมนตรี “แอนดรูว์ โฮลเนส” ระบุว่าปัญหาใหญ่ที่สุดในขณะนี้คือการฟื้นฟูประเทศ โดยกล่าวว่าจาเมกาไม่มีโครงสร้างพื้นฐานใดที่สามารถทนต่อพายุระดับ 5 ได้ และสิ่งท้าทายที่สุดคือความเร็วในการฟื้นตัวหลังภัยพิบัติครั้งนี้


นักอุตุนิยมวิทยาชี้ว่าชาวจาเมกาไม่ได้เผชิญพายุรุนแรงโดยตรงมานานเกือบ 40 ปี นับตั้งแต่พายุ “กิลเบิร์ต” ในปี 2531 ซึ่งขึ้นฝั่งในระดับ 3 และเคลื่อนตัวเร็วกว่าพายุเมลิสซามาก การเผชิญหน้าครั้งนี้จึงถือเป็นเหตุการณ์ทางอากาศที่รุนแรงและหายาก


ก่อนพายุจะขึ้นฝั่ง ทางการได้ออกคำสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่ชายฝั่งที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากคลื่นพายุซัดฝั่ง ขณะที่สภาพอากาศเริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่คืนวันจันทร์ มีรายงานลมพัดแรงและฝนตกหนักต่อเนื่องทั่วเกาะ

สำหรับเฮอริเคน “เมลิสซา” ได้เริ่มทวีกำลังขึ้นเป็นระดับ 5 เมื่อวันจันทร์ก่อนพัดขึ้นฝั่ง กลายเป็นพายุลูกที่ 3 ของปีนี้ในมหาสมุทรแอตแลนติก ที่แรงถึงระดับสูงสุดบนมาตรา Saffir-Simpson ต่อจากพายุ “เอริน” และ “ฮัมเบอร์โต” แต่เมลิสซามีความรุนแรงมากที่สุด โดยมีความเร็วลมสูงสุด 185 ไมล์ต่อชั่วโมง และความกดอากาศศูนย์กลางลดลงเหลือเพียง 892 มิลลิบาร์ ซึ่งถือเป็นพายุที่มีความกดอากาศต่ำที่สุดอันดับ 3 เท่าที่เคยบันทึกในทะเลแคริบเบียน และยังเป็นพายุที่มีความกดอากาศต่ำที่สุดอันดับ 2 ที่เคยเกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกช่วงเดือนตุลาคม รองจากพายุ “วิลมา” เมื่อปี 2548


นักอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ความรุนแรงของพายุเมลิสซายิ่งแรงมากขึ้นอีกจากความเร็วในการเคลื่อนตัวที่ช้ามาก โดยข้อมูลวิเคราะห์ของ AccuWeather พบว่า พายุลูกนี้เคลื่อนที่เฉลี่ยเพียง 4.6 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือราว 7.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2514 ที่มีการบันทึกพายุในพื้นที่เดียวกัน ส่งผลให้พายุมีเวลาปล่อยฝนตกหนักและคลื่นซัดฝั่งต่อเนื่องหลายวัน ขยายขอบเขตความเสียหายไปทั่วเกาะ


หลังจากพัดถล่มจาเมกา พายุเมลิสซามีแนวโน้มจะเคลื่อนตัวต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เข้าสู่พื้นที่ทางตะวันออกของคิวบา จากนั้นจะผ่านหมู่เกาะบาฮามาส และอาจส่งผลกระทบต่อเบอร์มิวดา แอตแลนติกแคนาดา และบางส่วนของยุโรปในลำดับถัดไป


พายุเมลิสซาถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักวิชาการด้านภูมิอากาศหลายคนเตือนว่า เหตุการณ์พายุระดับ 4–5 ที่เคยเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในอดีต อาจกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นในอนาคต หากอุณหภูมิโลกยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง