รถเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง ด้านในซึ่งวางของเตรียมตะลอนหา เที่ยวตรงนั้นตรงนี้เขียนตารางมา สงกรานต์หนาวันหยุดประดุจทอง ออกเดินทางตอนเช้ายาวถึงบ่าย เสร็จผ่อนคลายเดินเที่ยวเลาะเลี้ยวหา ก้าวขึ้นรถขับกลับหลายเวลา ต้องบำรุงรักษาต้องดูแล "ดูแลรถ" รถเป็นอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญกับชีวิตคนในปัจจุบัน รถที่เราต้องดูแลเป็นประจำนั่นคือรถส่วนตัว ถ้าหากว่าเราไม่มีรถเราสามารถไปไหนได้เช่นกัน แต่ใช้เวลานาน อย่างน้อยสองวันถ้าหากเดินทางไกล รอต่อรถบ้าง รถมาช้าบ้าง รถเสียซึ่งก็แล้วแต่โชคชะตา เมื่อเรามีรถทุกอย่างก็สะดวกมากขึ้น แต่กลับกันรายจ่ายก็เพิ่มมากขึ้นด้วย เราจึงต้องมีการบำรุงดูแลรักษารถอยู่ตลอด การขับรถระยะทางไกล เครื่องร้อนพอถึงจะต้องจอดรถค้างไว้ก่อนอย่าเพิ่งดับรถ เพราะว่ารถวิ่งมาระยะทางไกลเพื่อไม่ให้เครื่องรถหยุดกะทันหัน จอดประมาณสามถึงห้านาทีค่อยดับรถ เป็นการรักษาเครื่องยนต์ การดูแลอย่างแรกที่ต้องทำคือ การล้างและเช็ดทำความสะอาดเพื่อให้เห็นรอยว่าในการขับเล่นน้ำ หรือขับเที่ยวมีอะไรมาทำให้เกิดรอยหรือไม่ น้ำเข้าห้องเครื่องไหม ทั้งด้านในและด้านนอก ขับรถระยะไกลเที่ยวสงกรานต์ จะต้องตรวจดูยางรถดูความเรียบร้อย ของขอบวงยางดูลูกดอกยางที่วิ่งมาระยะทางไกล เพราะบางครั้งอาจจะไปเสียดสีขอบถนน จนทำให้แตกหรือขัดทำให้ยางเสื่อม การดูอายุการใช้งานของล้อรถ ให้ดูขอบของรถ ในวงเล็บจะเขียนวันผลิตไว้ อย่างเช่นยางด้านบนเขียนเลขไว้ว่า 1122 หมายถึงวันที่ 11 ปี 22 เราก็นับไปอีกสองปี หรือสามปีจะต้องเปลี่ยนเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ล้อรถมีความสำคัญเพราะช่วงอากาศร้อนสัมผัสกับพื้นถนนจึงต้องสำรวจว่ามีตะปูหรือเหล็กแทงตามขอบยางหรือไม่ ถ้าหากว่ามีรอยแตกหรือรอยตะปูอย่าเพิ่งดึงออกเพราะว่าจะทำให้ยางระเบิดหรือลมเหี่ยวได้ ต้องไปที่ร้านเพื่อปะ หรือเปลี่ยนยาง การตรวจเครื่องยนต์สำคัญสิ่งแรกคือต้องหา ที่เปิดฝากระโปรงรถก่อน ส่วนมากจะอยู่ใต้ขาของคนขับ เมื่อเจอแล้วจับแล้วดึงขึ้นมาจะได้ยินเสียงดังนั่นแสดงว่ากระโปรงด้านหน้าเปิดแล้ว จุดการเปิดกระโปรงรถแต่ละยี่ห้อจะอยู่ต่างกัน ดึงเปิดจนได้ยินเสียงจากนั้นเดินไปเปิดฝากระโปรงด้านหน้าได้ตรวจตามขั้นตอน 1. ตรวจดูผ้าเบรค ยิ่งถ้าวิ่งระยะไกลรถติดมีการเบรคและจอดอยู่บ่อยๆ อาจจะทำให้ผ้าเบรคหมดหรือเหลือน้อย เราจะต้องมองไปที่ผ้าเบรคหน้า ผ้าเบรคเรายังเต็มหรือไม่ ถ้าผ้าเบรคหมดจะมีอาการเบรคไม่ค่อยอยู่ หรือมีเสียงดังเวลาเบรค อาการเบื้องต้นคนขับจะรู้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีอาการอะไรแสดงว่ายังปกติดี แต่อาจจะเกิดจากการใช้งานนานและเดินทางไกลเป็นประจำ จึงทำให้เขม่าของเบรคหลุดออกมา เราก็เพียงเช็ดทำความสะอาด การสังเกตและการดูผ้าเบรค ดูได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ด้านหน้า หรือมองเขม่ารถที่เกาะในขอบของล้อได้ 2. ตรวจดูน้ำมันเกียร์ว่าขาดไหม ยังเต็มอยู่ในเขตที่ปลอดภัยไหม ส่องไฟฉายตรงจุดเล็ก ดูผ้าเบรคที่ชิดกับล้อดูความหนาถ้าบางหมดนั่นคือผ้าเบรคหมด ต้องรีบเปลี่ยน หลังจากนั้นเช็ดทำความสะอาด 3. ตรวจน้ำมันหม้อน้ำว่าแห้งไหม ถ้าลดลงให้เติมน้ำกลั่นใส่ให้เต็ม ในขณะที่เปิดจะต้องรอให้เครื่องเย็นก่อน ไม่ให้น้ำหม้อน้ำแห้ง ถ้าแห้งจะทำให้เกิดไฟ 4.ตรวจดูลมยางทั้งสี่ล้อ ว่าลมอ่อนไหม รั่วไหมเพราะล้อรถเป็นล้อที่ไม่มียางด้านในมีเพียงล้อข้างนอก ล้างเช็ดทำความสะอาดรอบคัน ดูรอยข่วนถ้าหากว่ามีรอยข่วน ขัดเองน้ำยาขัดสีมี แต่ต้องใช้เวลาในการขัดค่อนข้างนาน 5. ตรวจดูน้ำมันเกียร์ ดูน้ำมันเกียร์เราจะเห็นขอบของน้ำมันเกียร์ต้องคอยดูว่าลดลงไหม ถ้าเกินไม่เป็นไรแต่อย่าให้ขาด น้ำมันเกียร์จะต้องเปลี่ยนทุกห้าหมื่นกิโล ถ้าใช้นานจะหนืดเกินไปจนทำให้เกียร์ติดเสียได้ 5.1 จุกหัวน้ำมันเครื่อง การสังเกตหัวจุกน้ำมันเครื่องให้สังเกตที่สีเหลืองเป็นรอยจับดึงขึ้นมาซึ่งจะมีขนาดยาวประมาณหนึ่งศอก ดึงขึ้นมาจนสุดวางไว้ในผ้าหรือกระดาษ ดูระดับของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องเราจะต้องหมั่นตรวจบ่อยครั้ง สองสามวันตรวจครั้งหรือหนึ่งอาทิตย์ตรวจ เพราะถ้าหากเราขับรถเป็นประจำจะทำให้น้ำมันเครื่องลดลงได้ 5.2 วิธีการดึงออกมา ใช้นิ้วชี้ประกบกับนิ้วโป้ง ต้องเตรียมกระดาษทิชชูสำหรับเช็ดทำความสะอาด ผ้าหรือทิชชูตอนดึงต้องดึงขึ้นมาตรงๆ 5.3 ดึงออกมาเช็ดให้สะอาดโดยผ้าหรือทิชชูจากนั้นใส่ลงไปที่เดิมเพื่อวัดถ้าสูงกว่าขีดที่สองหรือพอดีถือว่าได้แต่ถ้าลดลงไปขีดที่หนึ่งต้องเพิ่มน้ำมันเครื่องหรือเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนหนึ่งครั้งประมาณ 7 พันกิโลเมตร แต่ถ้าน้ำมันเครื่องดีหน่อย ประมาณ 1 หมื่นกิโลเมตร เราเห็นรูสองรู ถ้านับมาจากปลายแหลม น้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ที่รูที่สองต้องมากกว่าเรือเท่าขีดที่สองจึงจะถือว่าน้ำมันเครื่องไม่ขาด 6. แบตเตอรี่ ดูอายุการใช้งาน แบตเตอรี่จะใช้ได้ประมาณสามปีจะต้องเปลี่ยนไม่ว่ารถจะขับหรือไม่ขับเมื่อถึงเวลาจะต้องเปลี่ยน ดูรอบๆ ว่ามีรอยรั่วหรือไม่ ถ้าพอมีเวลาเราสามารถที่จะนำรถให้ร้านหรือช่างล้านห้องเครื่องให้ เพื่อความสะอาดและปลอดภัยจากสัตว์ร้ายอย่างเช่นหนู การใช้แบตเตอรี่มีหลายแบบ ราคาจะต่างกันด้วย แบบแรกคือแบบแห้งจะต้องเติมน้ำกลั่น แบบที่สองคือแบบไม่ต้องเติมน้ำถึงเวลาเปลี่ยน อาการที่คนขับต้องสังเกตเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมนั่นคือ การติดรถจะเริ่มยาก การดูแลรถ เป็นความสุขของเจ้าของ ทุกครั้งที่ใช้จะมองรอบรถว่ามีร่องรอยของอะไรเกิดขึ้นไหม สกปรกไหม ตามจริงแล้วถ้าหากว่ารถของเราไม่สะอาดมีแต่ฝุ่นเวลาขับไปไหนก็จะมองดูไม่ค่อยสดชื่น การดูแลรถจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น ไม่ใช่จะบอกว่าต้องผู้ชายเท่านั้นที่ดูแลรถได้ ผู้หญิงก็ทำได้ ไม่ยากลองดูแลรถของเรา เพราะเขาได้พาเราท่องโลกแล้ว ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นภาพถ่ายของผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !