Credit pic : pexels สวัสดีจ้าทุกคน...ผู้เขียนจะมาเขียนบทความเรื่องหนึ่ง จะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นเรื่องจริงของคนในสังคมก็ว่าได้ ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนนอกจากจะมี "ร้อยพ่อพันแม่" ครอบครัวคือแรงผลักดันให้ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าปัจจัยภายนอก ก็ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมายเช่นกัน จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือก็ไม่ปานนัก ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้อนาคตข้างหน้าว่า...มันจะลงเอยเช่นไร ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจพอสมควร ยิ่งโซเชียลมีเดียสามารถเข้าถึงได้อย่างไร้พรมแดน ถ้าอยากได้คนดูแลก็ทักมา ใครมันจะไม่อยากสนใจล่ะ เยาวชนยุคใหม่กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ท่ามกลางความสับสนในช่วงวัยที่เพิ่งพ้นจากความเป็นวัยรุ่นได้ไม่นาน และกับดักแห่งสิ่งมอมเมาที่พร้อมจะเย้ายวนมากมาย จะว่าไป "ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร" เพราะในปัจจุบันค่าครองชีพยังคงสูงขึ้น และสภาวะทางเศรษฐกิจที่ถดถอย ส่งผลทำให้เกิดปัญหาเงินขาดมือ เนื่องจากรายได้ไม่มีพอให้จ่าย ส่งผลให้นักศึกษาบางกลุ่มรีบหารายได้เสริมเพื่อประคับประคองตนเองให้วินาทีแห่งความลำบากมันผ่านพ้นไป แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ชอบความลำบาก อยากมีของหรู ๆ มีแบรนด์ดี ๆ ใช้ หรือมีเหตุจำเป็นบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องปัญหาการเงิน ที่เงินไม่พอใช้จ่าย ไม่ว่าจะด้วยชีวิตที่ต้องแลกกับการปากกัดตีนถีบ สภาพครอบครัวที่บีบคั้นสุดขีด เช่น 1. ปัจจัยทางฐานะครอบครัว ครอบครัวแตกแยก ครอบครัวไม่สบาย ที่ต้องการหาเงินมารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยค่าใช้จ่ายสูง ครอบครัวยัดเยียดให้ขายตัว อยู่ในความดูแลของใครบางคน ครอบครัวไม่มีเงินส่งเสียให้เรียน หรือครอบครัวอยู่ในจุดที่ไม่สามารถช่วยเหลือเราได้อีกต่อไป จึงเป็นแรงผลักดันให้ทำอาชีพที่ไม่มีใครยอมรับกันนั่นก็คือ ให้คนมาเลี้ยงดู หรือเรียกสั้น ๆ กันว่า "เด็กเสี่ย" หรือ "เด็กป๋า" 2. ขาดความอบอุ่นทางใจ แม้บางคนไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวที่แตกแยกโดยตั้งแต่เดิม แต่ก็มาจากการขาดความอบอุ่นทางใจ ขาดการใส่ใจจากครอบครัว ประกอบกับการชักจูงจากเพื่อน โดยขาดการยั้งคิดและการไตร่ตรอง เมื่อเพื่อนทำได้ ฉันก็ต้องทำได้ และเป็นการหาเงินมาได้ง่าย ไม่ต้องออกแรงเยอะ 3. นิสัย อาจจะเป็นนิสัยฟุ้งเฟ้อ มือเติบ ติดเที่ยว ใช้เงินเกินตัว ทำให้รู้สึกว่ารายได้ที่มีไม่เพียงพอ ทั้งที่พอกินได้ไม่ลำบากมาก แต่ก็ต้องการมากเพิ่มขึ้น แม้เงินจะมีสักกี่บาท ไม่ได้แปลว่าความต้องการจะสิ้นสุดลงเสมอไป จึงเป็นแรงขับให้เป็นเด็กเสี่ยได้ง่ายมาก 4. คนรอบตัว บางรายอาจมีแฟนเป็นตัวเป็นตน และเป็นเด็กที่ช่วงอายุไล่เลี่ยกัน แต่ก็ยังไปเป็นเด็กเสี่ย บางคนไปแต่แฟนไม่รู้ บางคนไปแต่แฟนรู้และขอแบ่งเงินจากเด็กสาวกลุ่มนั่นเพื่อไปจับจ่ายใช้สอย เรื่องราวของกลุ่มนักศึกษาที่ทำอาชีพนี้ มีทั้งเปิดเผยข้อมูล และยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูล พอฟังไปก็รู้สึกช็อกกับเรื่องราวในสังคมพอสมควรเมื่อเรื่องราวของ "เด็กเสี่ย" มักจะเกิดในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีปัญหาเรื่องเงิน หรือเดือดร้อนเรื่องทุนทรัพย์เพื่อช่วยส่งเสียให้ได้มีการศึกษา หรืออาจช่วยส่งเสียเพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้นจากที่เคยเป็นอยู่ Credit pic : pexels คนที่รับอุปการะ มาเลี้ยงดูส่วนมากจะอายุระหว่าง 35-50 ปี โดยส่วนมากแต่งงานมีครอบครัวแล้ว การจัดหาเด็กเพื่อมาอุปการะส่วนมากมี 2 กรณี 1. จากนายหน้า ที่เรียกสั้น ๆ ว่า "โม" จะได้รับการแนะนำจากคนที่จัดหาโดยตรง จะมาเสนอเหมือนเสนอสินค้าด้วย Catalog แล้วให้เลือกคนนั้นว่าสนใจคนไหน ถ้าถูกใจก็จะติดต่อกลับไปและมีนัดเพื่อทำความข้อตกลงร่วมกัน และมีข้อแลกเปลี่ยนร่วมกันว่าจะต้องทำตามอย่างนั้นอย่างนี้ 2. จากเว็บไซต์ เนื่องด้วยเป็นช่องทางที่ง่าย และสะดวกที่สุด เพียงแค่พิมพ์ข้อความเสนอในโพสต์ แล้วก็มีคนคอมเมนท์ติดต่อ ก็นัดติดต่อเด็กกันได้ไม่ยาก ต่อให้ไกลแค่ไหนถ้าไร้พรมแดนซะอย่าง เด็กเสี่ยคราวรุ่น ๆ ก็มาถึงที่ได้ตามต้องการ การที่จะได้มาซึ่งรายได้สูง ๆ นั้น เด็กเสี่ยเป็นงานที่มีวงจรสั้น เพราะขึ้นอยู่กับกำลังเงินของเสี่ยหรือคนที่มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ เจ้าของบริษัท ข้าราชการ (ไม่ว่าจะสีกากีแบบข้าราชการทั่วไปหรือบุคคลในเครื่องแบบที่มียศสูง ๆ) หรือคนในแวดวงสังคมชั้นสูง หากเป็นคนมือไม่ถึง อาจจะเลี้ยงดูได้แค่ 2-3 เดือนอย่างต่ำแล้วส่งต่อให้คนที่มีกำลังเงินถึงกว่า ถ้าคนเงินถึง อาจจะเลี้ยงดูได้เป็นปี ๆ ขึ้นอยู่กับความชอบและความพอใจ ภายนอกอาจเหมือนได้มีของดี ๆ ใช้ มีชีวิตที่สุขสบาย ได้ไปต่างประเทศที่ใคร ๆ นิยมไป แต่การได้มานั้นแลกกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น การตอบสนองความต้องการทางเพศ การแลกศักดิ์ศรีที่มี เพื่อความฝันบางอย่างของตนเพื่อให้ได้สิ่งนั้น อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจเลยก็คือ "ไต่เต้า" เอาตัวเข้าแลกเพื่อพันธะสัญญา เช่น ส่งเสียให้เรียนจนจบ หรือแลกเพื่อปลดหนี้ รักษาพยาบาล หรือการแลกเพื่อความอยู่รอดของชีวิตตน หากไม่มีใครสานต่อ จะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้อีกเลย จนเราลืมถามไปว่า...การใช้ชีวิตที่ขึ้นอยู่กับคนอื่น การปล่อยชีวิตให้อยู่ในวังวนของตัณหา นี่คือความสุขที่แท้จริงหรือ? Credit pic : pexels หลายคนคงอิจฉาที่ "เด็กเสี่ย" บางคนมีชีวิตดีกว่าตนมาก เราไม่จำเป็นต้องอิจฉาเขาเลย ถ้ามองในมุมกลับกัน กว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ต้องแลกอะไรมาบ้าง ทั้งร่างกายที่ควรสงวนไว้ให้กับคนที่เห็นคุณค่าของตน และจิตใจที่มีไว้เพื่อตอบสนองความต้องการของใครบางคน เขาอาจจะน่าเห็นใจกว่านั้นโดยไม่มีใครรู้ บางครั้งแค่ความรัก ความเข้าใจของครอบครัวเพียงอย่างเดียวก็คงไม่พอ สิ่งที่สำคัญก็คือ เยาวชนในปัจจุบัน มี "ภูมิคุ้มกัน" ในชีวิตที่ดีเพียงพอหรือยัง ตราบใดที่ยังปล่อยให้ใจล่องลอยไปกับการไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ จึงเป็นด้านอันตรายที่ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับลูกวัยรุ่นควรให้คำแนะนำ พูดคุยด้วยเหตุผล อยู่เคียงข้างในวันที่แย่ เป็นแบบอย่างที่ดี ถึงอย่างไรเสีย แบบอย่างที่ดีย่อมมีค่ากว่าคำสอน สิ่งนั้นจะสร้างภูมิคุ้มกันให้จิตใจแข็งแรง ไม่หลงมัวเมาในอบายแน่นอนค่ะ Credit pic ภาพปก : unsplash