รีเซต

ศบค.ยันวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกถึงไทย 24 ก.พ.ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า

ศบค.ยันวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกถึงไทย 24 ก.พ.ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า
มติชน
18 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:13 )
74
ศบค.ยันวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกถึงไทย 24 ก.พ.ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) กล่าวถึงนโยบายเบื้องต้นเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ระหว่างแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวในประเทศไทย ว่า มีการหารือกันในที่ประชุม ศบค.ชุดเฉพาะกิจ ว่า การกระจายวัคซีนเป้าหมายที่สำคัญคือ ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 จึงเน้นย้ำว่าไม่เฉพาะคนไทย แต่รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยถาวร หรือแม้กระทั่งแรงงานต่างด้าวที่เราต้องดูแลเขาในมาตรฐานเดียวกัน

 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า เป้าหมายการฉีดวัคซีนคือ 1.ลดอัตราป่วยและเสียชีวิต 2.ป้องกันระบบสุขภาพของประเทศ ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน บุคลากรด่านหน้า อาทิ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำรวจ ทหาร และ 3.การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสังคม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. รับประกันว่า ภาคเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว จะได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม วัคซีนจะต้องมีการสำรองสำหรับกรณีฉุกเฉินด้วย ซึ่งใน 2-3 วัน จะมีแผนรายละเอียดออกมารายงานให้ทราบอีกครั้ง

 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า วัคซีนล็อตแรกที่ประเทศไทยจะได้รับในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ เป็นการอนุมัติให้ใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉินเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลกยอมรับให้ใช้ได้ในความจำเป็นภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากการศึกษาวัคซีนในภาวะปกติจะต้องใช้เวลาวิจัยอย่างละเอียด เพื่อเก็บตัวอย่าง และเฝ้าระวังความปลอดภัย

 

“เหตุผลหลักการใช้วัคซีนเพื่อลดความรุนแรงและการป้องกันตนเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า ลดการแพร่เชื้อได้ เพราะอาจมีหลายท่านเกิดความสบายใจว่า ได้รับวัคซีนแล้วจะไม่ต้องระมัดระวังตัว ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง แต่จริงๆ แล้วเริ่มมีรายงานว่า การฉีดวัคซีนยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ลดการแพร่เชื้อ เป็นเพียงการป้องกันผู้ฉีดและลดความรุนแรง ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ฉีดแล้วจะไม่สามารถเป็นผู้แพร่เชื้อได้” พญ.อภิสมัย กล่าว

 

ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้หารือว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว จะต้องได้รับใบรับรองการฉีดวัคซีน เพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ เหมือนที่เคยทำในการรับรองวัคซีนโรคไข้เหลือง โดยจะมีรายละเอียดในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากภาคเอกชนหรือผู้ที่มีความพร้อมจะสามารถนำเข้าวัคซีนได้หรือไม่ พญ.อภิสมัย กล่าวว่า หลักการคร่าวๆ ศบค. เห็นด้วยในการที่จะให้ภาคเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนได้ แต่มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ ใครเป็นผู้ที่จัดหาได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เน้นย้ำว่า ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ลักษณะเป็นโรงพยาบาล สถานบริการที่มีแพทย์ และให้บริการในภาวะฉุกเฉินได้ เช่น การช่วยเหลือหรือกู้ชีพ ในผู้ที่มีอาการแพ้หลังได้รับวัคซีน จึงจำเป็นต้องทบทวนว่า 1.เอกชนนั้นๆ ได้มาตรฐานที่ สธ. กำหนดหรือไม่ 2.วัคซีนต้องมีที่มา ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่ามีความปลอดภัยก่อนนำไปฉีดให้ประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง