รีเซต

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น
30 พฤษภาคม 2566 ( 09:30 )
46
เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่งตัว Sideways หลังจากฟื้นตามตามตลาดต่างประเทศได้ดีพอสมควรวานนี้ เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในกรอบ 1,530-1,550 จุด ปัจจ ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามคือการลงมติหนุมติขยายเพดานหนี้สหรัฐฯจาก 2 สภา หลังบรรลุข้อตกลงกันได้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงอยู่ที่พัฒนาการจัดตั้งรัฐบาล โดยวันนี้ 8 พรรคร่วมจะมีการประชุมซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นสำหรับตำแหน่งประธานสภาฯว่าจะเป็นของพรรคใด โดยหากมีพัฒนาการเชิงบวก สามารถผ่านขั้นตอนต่างๆ และจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เราเชื่อว่าตลาดจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและฟื้นตัวได้ ด้านนโยบายการเงินคาดกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2% ในการประชุมพรุ่งนี้ 

 

ส่วน FED ตลาดมองมองขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือน มิ.ย.-ก.ค ตึงตัวกว่าที่เคยประเมิน ยังกดดันให้ค่าเงินบาทยังค่อนไปในฝั่งอ่อนค่าระยะสั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตาใน 2H23 คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะฝั่งตะวันตกจากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงซึ่งยังกดดันภาคส่งออก ขณะที่เอเชียยังเห็นการเติบโตที่ยังดีกว่า ทำให้เรายังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic มากกว่า Global Play โดยเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จำกัด 

 

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกและเสี่ยงกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จำกัด//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มที่ฐาน 1,500+- จุด

หุ้นเด่นเดือนพ.ค. : BA, BDMS, CPALL, ICHI, TOA

 

หุ้นเด่นวันนี้ : BDMS

• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34.50 บาท

• แนวโน้มกำไร 2Q23 เบื้องต้นคาดชะลอตัว q-q จากปัจจัยฤดูกาลซึ่งปกติมักเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปี แต่คาดยังคงเป็นระดับทีแข็งแกร่ง ระยะกลาง-ยาวคาดว่ายังคงได้อานิสงส์จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทั้งไทยและโดยเฉพาะต่างประเทศ

• เรายังคงประมาณการกำไรทั้งปี 2023 ที่ 1.35 หมื่นลบ. +7% y-y ระยะสั้นได้อานิสงส์จากโควิดที่กลับมาระบาด และไม่กระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

• แนวรับ 27.50-27 บาท แนวต้าน 30//32 บาท

 

**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ มีโอกาสไปต่อได้ แต่ไม่ร้อนแรงเหมือนเมื่อวาน เพดานหนี้สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลง วันนี้จับตา Commodity เรามองว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยส่งผ่านมาทางราคาของสินค้า Commodity (ดีต่อ PTTEP) 

 

• นักลงทุนจะกลับไปโฟกัสเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ว่าจะขึ้นได้อีก 0.50%  หรือ 0.75% ถ้าเป็นอันหลัง จะลบต่อตลาด

 

• Dollar อ่อนค่าลง หลังเจรจราเพดานหนี้จบ (ล่าสุด Dollar Index 104.2 จุด) ซึ่งอาจจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น (ล่าสุด 34.6 บาท/ดอลลาร์) ขณะที่วานนี้(29) นักลงทุนต่างชาติ Net Sell หุ้นไทย 274 ล้านบาท นับว่าเทขายน้อยลงจากช่วงหลายวันที่ผ่านมา

 

• ติดตามการรายงานตัวเลข PMI ของจีน ที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น (คาดที่ 49.5 จากเดิม 49.2) ซึ่งจะสะท้อนเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และดีต่อ ธุรกิจขนส่ง ราคาน้ำมัน และปิโตรเคมีด้วย

 

• การเมืองไทยวันนี้ ติดตามพรรคก้าวไกล และพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการพูดคุยเรื่อง MOU เวลา 14.30 น.

 

• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขส่งออกของไทย

 

Strategy

• เรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯที่สามารถตกลงกันจะช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนของไทย ข่าวการเมืองที่ยังไม่ลงตัว จึงเน้นเล่นสั้นๆ ในหุ้นที่มีข่าวบวกสนับสนุน หรือราคาลงมาลึกมาก

 

• หุ้นที่มีความเกี่ยวโยงกับนโยบายของ(ว่าที่) รัฐบาลใหม่ ราคาลงมามาก หุ้นบางตัวพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ผลต่อนโยบายไม่กระทบต่อธุรกิจมากนัก หรืออาจเป็นบวกด้วย เราแนะนำ  GULF , BEM, BCH, CHG

 

• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น NCAP ออก และนำหุ้น CHG, TQM*, BANPU เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย CHG(10%), TQM*(10%), BANPU(10%) JMT(15%), TLI*(15%), Q-CON*(15%)

 

Strategy Stock Pick

CHG: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 3.30 บาท) “หนึ่งในธุรกิจไม่กี่ประเภทที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ (ใหม่)”

• นโยบายของรัฐบาลใหม่ไม่ว่าขั้วใดจะหนุนสวัสดิการด้านสาธารณสุข CHG, BCH เด่นสุดในกลุ่ม รพ. จากฐานผู้ประกันตนที่สูงสุดในกลุ่ม

• แนวโน้มรายได้ปกติ (ไม่รวมโควิด) โตต่อ เตรียมขยายเตียง 100 เตียง ที่แม่สอดในเดือน มิ.ย. ด้านผลประกอบการนับจากไตรมาส 2 จะได้แรงหนุนจากการปรับขึ้นค่าหัว สปสช. นับจากเดือน พ.ค. ขึ้นที่ 1,808 บาท/หัว/ปี เทียบกับของเดิมที่ 1,640 บาท +10%

• DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2023E-2024E ที่ 1.36 พัน ลบ. และ 1.4 พัน ลบ. -51%YoY และ +3%YoY ตามลำดับ

 

Technical : BCH, GLORY 

 

**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,530 – 1,535 แนวต้าน 1,545 – 1,550วันนี้ติดตามการหารือ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ต่อประเด็นแคนดิเดท ปธ.สภา หากมีความชัดเจนจะส่งผลบวกต่อดัชนี แนะนำทยอยซื้อกลุ่มธนาคาร BBL,SCB,KKP รับคาด กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย / ค้าปลีก MAKRO, CPN, HMPRO, GLOBAL, COM7, ILM รับอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวเศรษฐกิจ

 

KTB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท) KTB รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 1 หมื่นล้านบาท +24%QoQ, +15%YoY ขึ้นทำ All time high หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมที่ปรับตัวดีขึ้น โดย NIM ขยายตัวจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปล่อยสินเชื่อกลุ่มที่มี Loan Yield สูง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมผ่าน Digital Platform เติบโตตามฐานจำนวนผู้ใช้งาน ส่วนค่าใช้จ่าย Cost to income ratio ลดลง ทั้งนี้เราคาดกำไรปี 66 อยู่ที่ 3.54 หมื่นล้านบาท +5%YoY หนุนจาก NIM ที่ขยายตัวได้ดี สินเชื่อที่มี Loan Yield สูง ชดเชย Cost of Fund ที่เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่ Credit Cost ยังสามารถบริหารจัดการได้

 

TKN* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 12.35 บาท) กำไรสุทธิงวด 1Q66 อยู่ที่ 166 ลบ. (+164%YoY, +37% QoQ มีแรงหนุนในเชิงรายได้YoY จากการ Reopening ทั้งในประเทศไทย(+24%YoY)และตลาดต่างประเทศ (+31%YoY) โดยเฉพาะในจีน ด้านการดำเนินงานช่วงถัดไป คาดว่าจะมีแรงหนุนจากการปรับปรุง Product mix และยกระดับการผลิตในรูปแบบ Automation เพื่อเพิ่มGross Profit Margin ขณะที่แนวโน้มการรุกตลาดต่างประเทศยังดูดีจาก การขยายช่องทางจำหนายในสหรัฐฯผ่านทาง COSTCO ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 ของ TKN* จะเติบโตจากปี 65 มาอยู่ที่ 611 ลบ. (+41%YoY) และ 695 ลบ.(+14%YoY)  

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง