ผู้อ่านทุกท่านครับ ภาพข่าวช่วงเช้าวันที่ 17 ตุลาคม 2568 สร้างความฮือฮาในตลาดทองคำโดยราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นอย่างรุนแรงถึง 1,600 บาท เมื่อเปิดตลาด โดย ทองรูปพรรณขายออก อยู่ที่ 67,700 บาท และทองแท่งขายออกที่ 66,900 บาท ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำครับผม จากที่ผู้เขียนได้พิจารณานะครับ เหตุการณ์ราคาทองพุ่งขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีเบื้องหลังหลายปัจจัยร่วมกันที่ทำให้ตลาดทองคำ “ระเบิดแรง” ภายในชั่วข้ามคืน บทความนี้จึงอยากชวนทุกท่านมาวิเคราะห์ร่วมกันถึง 5 เหตุผลหลัก ที่อธิบายว่าทำไมราคาทองถึงพุ่งขึ้นแรงขนาดนี้ พร้อมทั้งพูดถึงความเสี่ยง แนวโน้ม และสิ่งที่ผู้ลงทุนทองคำควรจับตาด้วยครับ 1. แรงหนุนจากตลาดทองคำโลก (Gold Spot) + ค่าเงินดอลลาร์อ่อน เหตุผลแรกที่สำคัญมากครับ คือ ทองในตลาดโลก (Gold Spot) มีแรงดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งหนุนให้ราคาทองในประเทศปรับตัวขึ้นตามไปด้วย รายงานข่าวระบุว่า ราคาทองคำ Spot พุ่งทะลุระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเช้าวันนั้น ในขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) มีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งส่งผลให้ทองคำในมุมมองของผู้ถือเงินบาท “ถูกลง” เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นแรงกดดันให้คนซื้อทองในประเทศมากขึ้น ในมุมมองผู้เขียนนะครับ เมื่อทองโลกพุ่งแรง และดอลลาร์อ่อน ค่าเงินบาทที่เราถืออยู่จะได้อานิสงส์ ทำให้ราคาทองในไทย “ขยับขึ้นไว” เพราะแรงซื้อในประเทศตามมาเร็ว 2. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์ บีบให้ทองเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” เหตุผลลำดับที่สองครับ คือ ในช่วงนี้โลกเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน ที่ผลักดันนักลงทุนให้หันมาถือทองคำในฐานะ “Safe Haven” มีรายงานข่าวถึง ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ตลาดจับตามอง นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ที่อาจ “ลดดอกเบี้ย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อนโยบายการเงินคลายตัว และมุมมองเศรษฐกิจไม่นิ่ง นักลงทุนมักโยกเงินเข้าไปในทองคำเพราะถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จากที่ผู้เขียนได้พิจารณานะครับ ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวน นักลงทุนจำนวนนึงหันกลับมาเข้าทองคำ ทำให้เกิดแรงซื้อสูงในระยะสั้น และดันราคาทองให้พุ่งทันทีเมื่อมีข่าวแรงหนุน 3. การคาดการณ์นโยบายดอกเบี้ยของ “เฟด” (Fed) เหตุผลที่สามที่สำคัญไม่น้อยครับ คือ “ทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)” ซึ่งมีอิทธิพลต่ออัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ทั่วโลก บทวิเคราะห์ในข่าวระบุว่า มีความคาดหวังว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือเดือนธันวาคม เพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย การลดดอกเบี้ย ทำให้ค่าโอกาสในการถือสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยน้อยลงน่าสนใจกว่า — ทองคำจึงกลับมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น ข่าวระบุว่าผู้ว่าการ Fed คนใหม่ สตีเฟน มิแรน อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยถึง 0.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในมุมมองผู้เขียนนะครับ เมื่อนักลงทุนเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ย ทองคำซึ่งไม่มีดอกเบี้ยในตัวเอง จะเป็นทางเลือกที่ “ความเสี่ยงน้อยกว่า” เมื่อเทียบกับตราสารหนี้หรือหุ้นบางตัวในช่วงนั้น แรงคาดการณ์ล่วงหน้าจากตลาดจึงกลายเป็นแรงผลักดันราคาทองให้พุ่งขึ้นเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด 4. แรงซื้อภายในประเทศ & ความต้องการทองรูปพรรณสูง เหตุผลที่สี่ครับ คือ ภายในประเทศเองมีแรงซื้อทองคำจากผู้ลงทุนรายย่อย และผู้ที่ซื้อทองรูปพรรณเพื่อเก็งกำไรหรือเก็บรักษาความมั่งคั่ง จากข่าว เปิดตลาดวันนั้นทองรูปพรรณขายออก 67,700 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาทองแท่งและมีช่องว่างให้เก็งได้ เมื่อราคาทองพุ่งเร็ว เกิดกระแส “กลัวตกขบวน” ทำให้คนทั่วไปรีบเข้าซื้อก่อนราคาขึ้นต่อ นอกจากนี้ กลุ่มนักสะสมทองคำ หรือนักลงทุนที่มองทองในระยะยาว อาจเข้าเพิ่มตำแหน่งเมื่อเห็นแนวโน้มเป็นขาขึ้น จากที่ผู้เขียนได้พิจารณานะครับ แรงซื้อภายในประเทศมักจะเกิดล่าช้าหน่อยเมื่อเทียบกับตลาดโลก แต่เมื่อเห็นราคาทองโลกพุ่งและข่าวดีหนุน แรงซื้อลงมาเร็วในประเทศ ทำให้ราคาปรับขึ้น “แบบพรวดพราด” 5. เงื่อนไขทางภาษี – กฎหมาย และปัจจัยพื้นฐานในประเทศ เหตุผลสุดท้ายครับ คือ ปัจจัยภายในประเทศที่แม้ไม่ถูกพูดถึงเท่าโลกภายนอก แต่มีผลต่อราคาทองในไทยไม่ใช่น้อย ราคาทองรูปพรรณมี “ค่ากำเหน็จ + ภาษี” ที่เพิ่มขึ้นได้เมื่อตลาดร้อน ทำให้ราคาขายออกสูงกว่าทองแท่งอย่างชัดเจน กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม / ภาษีของกลุ่มผู้ขายทองคำ หากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราหรือมาตรการภาษี ก็สามารถสร้างแรงกดดันให้ราคาขายปรับขึ้น ปัจจัยพื้นฐานในประเทศ เช่น ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า, อัตราเงินเฟ้อ, นโยบายการเงินของแบงก์ชาติ, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค — ทั้งหมดล้วนมีบทบาท ในมุมมองผู้เขียนนะครับ เมื่อราคาทองโลกเป็นขาขึ้น และประเทศมีต้นทุนหรือแรงกดดันภายใน (ค่าเงินบาทอ่อน, ค่าแรง, วัตถุดิบ) ราคาทองในไทยมักถูก “ผลักขึ้นสูงกว่าโลก” เล็กน้อย เพราะมีต้นทุนแฝงจากภาษี ค่ากำเหน็จ และความไม่สมบูรณ์ของตลาด สรุป & แนวโน้มที่น่าจับตามอง จากการวิเคราะห์ 5 เหตุผลข้างต้น — ตลาดโลก + ดอลลาร์อ่อน + คาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ย + แรงซื้อภายในประเทศ + ปัจจัยภายในประเทศ — ทำให้ราคาทองคำในไทยปรับขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 1,600 บาท พร้อมทำจุดสูงสุดใหม่ที่ทองรูปพรรณขายออก 67,700 บาทครับผม ในมุมมองผู้เขียนนะครับ แม้การพุ่งขึ้นแบบนี้จะทำให้ผู้ถือทองได้กำไรทันตา แต่ก็มีความเสี่ยงที่ตามมา เช่น การปรับฐาน (ราคาตกกลับ) หรือแรงขายเมื่อข่าวลบในต่างประเทศเข้ามา แนวโน้มที่น่าจับตามองในระยะถัดไป ได้แก่ ทองอาจ “รีบาวด์” หรือปรับฐานเล็กน้อยก่อนจะกลับขึ้นอีก หาก Fed ประกาศลดดอกเบี้ยจริง จะส่งแรงหนุนทองคำต่อ หากหลักเศรษฐกิจในประเทศแผ่ว เช่น เงินเฟ้อพุ่ง ค่าเงินบาทอ่อนมาก อาจหนุนราคาทองต่อ ติดตามข่าวจีน–สหรัฐ, ความตึงเครียดการค้า, ภูมิรัฐศาสตร์ สุดท้าย ผมอยากฝาก ผู้อ่านทุกท่านครับ สำหรับผู้ที่ถือทองอยู่อย่าเพิ่งขายทิ้งหมด ให้พิจารณาปรับพอร์ต แบ่งขายบางส่วนไว้รับกำไรก้อน และถืออีกส่วนไว้เก็งขึ้นในระยะกลางโดยยึดปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงครับ ภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก จาก Erik from Pixabay ภาพที่ 1 จาก Steve Bidmead from Pixabay ภาพที่ 2 จาก PublicDomainPictures from Pixabay ภาพที่ 3 จาก Soofia Tailor from Pixabay ภาพที่ 4 จาก istara from Pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !