เมื่อเราเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสด จนถึงวันที่หาเงินมาจ่ายไม่ได้แม้แต่ขั้นต่ำ จึงตัดสินใจว่าจะหยุดจ่ายก่อน พอพ้น 2-3 เดือนเป็นต้นไป เจ้าหนี้โหดที่ทำตัวแสนดี จะติดต่อมาให้ความช่วยเหลือ โดยเสนอหรือแนะนำให้เราปรับโครงสร้างหนี้ โดยชูคำพูดที่น่าสนใจว่า จ่ายขั้นต่ำน้อยลง ดอกเบี้ยถูกลง และจะให้ระยะเวลาผ่อนชำระมากขึ้นเครดิตภาพ : TechPhotoGal ตัวอย่าง (ตัวเลขสมมติ) เช่น - นายสมหวัง มีหนี้บัตรเครดิต 30,000 บาท- นายสมหวัง ไม่มีเงินจ่าย จึงหยุดจ่ายรวม 3 เดือน- ยอดหนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 35,000 บาท รวมค่าติดตามทวงถาม-ดอกเบี้ย-ค่าปรับ- เจ้าหนี้เสนอให้ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่- คือให้ทำสัญญาใหม่ ดอกเบี้ย 13% (ถูกลง) ผ่อนชำระ 5 ปี- จำนวนเงินในสัญญาใหม่ คือ หนี้เก่า 35,000 บาท + ดอกเบี้ยใหม่จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่ามีนัยสำคัญซ่อนอยู่ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เชื่อหรือไม่ว่า ข้อเสียกลับเยอะมากกว่า แต่เจ้าหนี้ไม่เคยบอกเรา ดังนั้น เราไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง ที่เราต้องคิดตรึกตรองให้ดี อ่านแล้วจะยังอยากปรับโครงสร้างหนี้อยู่หรือไม่ ก็เอาที่สบายใจล่ะกันเนอะเครดิตภาพ : mohamed_hassan4 ข้อต้องคิด ก่อนตัดสินใจปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิต-บัตรกดเงินสด1.ไม่มีคนมาติดตามทวงถามให้ทุกข์ใจ (หากจ่ายปกติ)เอาจริง ๆ แค่จ่ายไม่ตรงเวลา 1 วัน เจ้าหนี้ก็โทรยิก ๆ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งต่อวันแล้ว หากไม่จ่าย 2-3 เดือน ไม่อยากคิดว่าจะโทรถี่ยิบขนาดไหน แต่หากเราตัดสินใจไปเซ็นสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ก็จะไม่มีคนมาทวงหนี้ให้ทุกข์ใจอีกต่อไป ดีไหมล่ะ? …แต่เราต้องถามตัวเองก่อนนะ ว่าหลังจากนี้ เราจะสามารถจ่ายเงินได้ตลอดสัญญาไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะหากปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่จ่ายเหมือนเดิม ก็เตรียมรับโทรศัพท์แบบถี่ ๆ กันใหม่ได้เลยเครดิตภาพ : geralt2.เจ้าหนี้เสนอเงื่อนไข(เหมือนจะ)ดีให้กับเราจากตัวอย่างข้างบน เราจะได้รับเงื่อนไขสุดพิเศษ คือ ไม่มีเจ้าหนี้มาตามทวงอีกต่อไป / ได้ลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 13-15% ต่อปี / ได้จ่ายขั้นต่ำลดลงจากเดิม / ได้ระยะเวลาผ่อนชำระนานขึ้น ...โอ้โห!!! อะเมซิ่งไทยแลนด์แดนสยามมาก มีแต่ได้กับได้!!!แต่ช้าก่อน!! ดูกันให้ดี ๆ ยอดเงินต้นที่เจ้าหนี้เอามาตั้งในสัญญา ไม่ได้ลดอะไรให้กับเราเลย แถมยังเอาดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าติดตามทวงถาม ค่าดำเนินการต่าง ๆ มาบวกรวมทั้งหมด จากนั้นก็เอามาคำนวณเป็นขั้นต่ำให้กับเรา ตามดอกเบี้ยและระยะเวลาที่ระบุเอาไว้ ... เป็นไงล่ะทีนี้!! อะเมซิ่งเจ้าหนี้ไหม... เอาดอกเบี้ยมารวมเป็นเงินต้น แล้วคิดดอกเบี้ยอีกต่อหนึ่งเครดิตภาพ : succo3.สัญญาปรับโครงสร้างหนี้จะฟ้องเร็วมากทำใจไว้เลยว่า หากเราผิดนัดชำระหนี้ หลังจากปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว เราจะถูกส่งฟ้องศาลเร็วมาก เพราะสัญญานี้ เจ้าหนี้ได้เปรียบเราทุกกระบวนท่า โอกาสชนะแทบไม่ต้องลุ้น เอาเป็นว่าชนะใสแน่นอน ก็เจ้าหนี้เค้าลดดอกเบี้ยให้เราไปแล้ว แถมยังให้โอกาสเราได้จ่ายหนี้ ในจำนวนเงินที่ลดลงกว่าเดิมอีกด้วย จึงถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการต่อสู้ในศาลอย่างมาก แถมไม่เจรจาลดยอดหนี้ให้เราอีกด้วยส่วนหนี้ปกติที่เจ้าหนี้ไม่ได้ส่งฟ้องศาล ย่อมมีนัยสำคัญเรื่องความคุ้มค่าเป็นหลัก เพราะอาจเสี่ยงที่จะแพ้คดี หรือขาดทุน จึงต้องใช้เวลาทบทวนเป็นราย ๆ ไป ทำให้ลูกหนี้พอจะมีหนทาง ในการหาเงินก้อนมาจ่ายชำระได้ โดยการขอเจรจาลดยอดจนพอใจกันทั้งคู่เครดิตภาพ : nile4.ลูกหนี้เสียเปรียบเรื่องอายุความทันทีเรื่องนี้สำคัญมาก เพราะหนี้ที่หมดอายุความ ลูกหนี้มีโอกาสชนะคดีสูง และไม่ต้องจ่ายหนี้เลยสักบาท สำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องอายุความนี้ ก็เข้าทางเจ้าหนี้ทันที เพราะไปเชื่อคำหลอกล่อของเจ้าหนี้ จึงหลงไปทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ จะว่าไปถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเลยอีกหนึ่งจุดที่ต้องดูในสัญญาให้ดี ว่าเจ้าหนี้ทำสัญญาในหัวข้ออะไร หากทำเป็นสัญญากู้เงินขึ้นมา จะทำให้มีอายุความ 10 ปีทันที เพราะหากเป็นหนี้บัตรจะมีอายุความที่ 2 และ 5 ปีเท่านั้น ดังนั้นคิดให้ดี ๆ อย่าทำให้ตัวเองเสียเปรียบเด็ดขาดเครดิตภาพ : TheDigitalWayเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ยังไงเราก็เสียเครดิตอยู่ดี ซึ่งการที่เราหยุดจ่ายก็เสียเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อประวัติการเงินเสียไปแล้ว ก็หมดเวลาที่จะต้องมานั่งเสียดาย แต่เราต้องคิดต่อไปว่า จะจัดการกับภาระหนี้สินยังไง คือต้องกำหนดทิศทางของเราให้ได้ และเราต้องไม่ถูกเจ้าหนี้เอาเปรียบด้วยเครดิตภาพปก : Republica