ภาพโดย wikipedia ภาพพระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูร้อน ภาพโดย wikipedia หลายคนคงเคยได้ยินกันบ้างว่าครั้งหนึ่งพระแก้วมรกตเคยเป็นของรัสเซีย เพราะเหตุใดจึงมีคำกล่าวเช่นนั้น และเป็นไปได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องขอท้าวความนิดหนึ่งนะคะ ในช่วงประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมาเนี่ยจะเป็นช่วงที่ประเทศของเราเนี่ยเผชิญหน้ากับประเทศมหาอำนาจจากตะวันตกที่เข้ามาเพื่อแสวงหาดินแดนตามลัทธิจักรวรรดินิยม หรือเรียกง่าย ๆ ว่าล่าเมืองขึ้นนั้นเอง ในเวลานั้นประเทศเพื่อนบ้านรอบเราต่างล้วนตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นพม่าก็ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ลาวกัมพูชาก็ล้วนเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส สำหรับประเทศไทยเราก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากปัญหานี้นะคะ ชาติตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสนี้ตัวดีเลยค่ะ พยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะเอาสยามเป็นอาณานิคมให้ได้ เราเองต้องใช้ทุกวิถีทางเช่นกันที่จะเอาตัวให้รอดจากการตกเป็นอาณานิคมตะวันตกให้ได้ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือว่าเป็นช่วงที่สยามต้องเผชิญกับปัญหานี้รุนแรงที่สุด พระมหากษัตริย์และผู้นำประเทศเวลานั้นต้องใช้ทุกวิธีการและทุกวิถีทางในอันที่จะพาประเทศให้รอดพ้น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่าครั้งหนึ่งพระแก้วมรกตเคยตกเป็นของรัสเซีย ช่วงเวลานั้นรัสเซียยังปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ และเวลามกุฎราชกุมารนิโคลัสซึ่งต่อมามกุฎราชกุมารพระองค์นี้ได้ขึ้นเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟและของรัสเซีย คนไทยในสมัยก่อนเรียกท่านว่าซาเรวิช มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียพระองค์นี้ได้เสด็จพระราชดำเนินมาสยามประเทศตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัชกาลที่ 5 เวลานั้นทางสยามได้จัดการต้อนรับคณะของรัสเซียอย่างยิ่งใหญ่ คณะของรัสเซียเดินทางมาทางเรือผ่านปากน้ำสมุทรปราการมาขึ้นที่ท่าราชวรดิษฐ์โดยมีรัชกาลที่ 5 เสด็จไปรับด้วยพระองค์เอง และตลอดช่วงเวลาที่มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียพร้อมคณะประทับอยู่ที่สยามได้รับความประทับใจอย่างมากจากการต้อนรับที่สยามมีต่อรัสเซีย เช่น รัชกาลที่ 5 จัดให้องค์มกุฎราชกุมารพร้อมคณะประทับที่พระราชวังสราญรมย์ภายในที่ประทับใช้ดอกไม้ของหอมร้อยกรองเป็นมาลัยเป็นม่านประตูหน้าต่างจากฝีมือชาววังส่งกลิ่นหอมรวยรินตลอดเวลา ภาพรัชกาลที่ 5 ทรงฉายพระรูปร่วมกับมกุฎราชกุมารนิโคลัสพร้อมคณะผู้ติดตามเมื่อครั้งเสด็จเยือนสยาม ภาพโดย wikipedia นอกจากนี้รัชกาลที่ 5 นำเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังบางปะอินอยุธยา พร้อมทั้งยังได้นำเสด็จไปยังเพนียดช้างเพื่อให้ทอดพระเนตรการคล้องช้างนับพันตัวซึ่งนับเป็นการคล้องช้างครั้งสุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์ จากการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติทำให้ความสัมพันธ์ของ 2 ราชวงศ์คือราชวงศ์จักรีและราชวงศ์โรมานอฟก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น รัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชดำรัสกับมงกุฏราชกุมารนิโคลัสว่าหากรัสเซียต้องการสิ่งใดในราชอาณาจักรสยาม ทางสยามประเทศก็ยินดีที่จะถวายให้ มกุฎราชกุมารนิโคลัสได้ยินดังนั้น จึงทูลขอพระแก้วมรกตจากรัชกาลที่ 5 ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้ฟังแล้วก็นิ่งไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงกล่าวพระราชทานยกพระแก้วมรกตให้ทำให้มกุฎราชกุมารนิโคลัสทรงยินดีและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้กล่าวตอบว่าหากสยามประเทศต้องการสิ่งใดทางรัสเซียก็ยินดีจะช่วยเหลือรัชกาลที่ 5 จึงทรงกล่าวทันทีว่าถ้าอย่างนั้นขอพระแก้วมรกตคืนสู่สยามทำให้มกุฎราชกุมารนิโคลัสทรงเลื่อมใสในพระปรีชาของรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างยิ่งและยิ่งทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสนิทสนมแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น สยามประเทศยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งถือว่าคำของกษัตริย์เป็นกฎหมายและคำว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ถือได้ว่าพระแก้วมรกตเคยเป็นตกเป็นของรัสเซียนั่นเองค่ะ ภาพรัชกาลที่ 5 ทรงฉายพระรูปร่วมกับซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย เมื่อครั้งที่ ร.5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ภาพโดย wikipedia หลังจากนั้นเมื่อเจ้าชายเสด็จกลับรัสเซียก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์คือตำแหน่งกษัตริย์ของรัสเซียนั่นเอง และเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปก็ได้เสด็จไปเยือนรัสเซียโดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสและให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติเช่นกันค่ะ ดังเช่นในรูปถ่ายด้านบนที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสโปรดให้ช่างภาพฉายพระรูปของพระองค์ท่านกับรัชกาลที่ 5 นั่งเคียงคู่เฉกเช่นประเทศที่มีเกียรติเสมอกัน รูปนี้พระเจ้าซาร์ทรงโปรดให้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของยุโรปเวลานั้น พร้อมด้วยพระราชดำรัสที่ว่า สยามเป็นมิตรแห่งเราใครคิดเป็นศัตรูเท่ากับเป็นศัตรูกับเราเช่นกัน ภาพนี้จึงมีเบื้องหลังที่น่าศึกษาและนี้เป็นอีกหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุที่กว่าไทยเราจะรักษาและดำรงเอกราชของประเทศจนยืนหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกมาได้จวบจนทุกวันนี้ไม่ง่ายเลยค่ะ ทุก ๆ เหตุการณ์ไม่ได้มาเพราะความบังเอิญหรือโชคช่วย แต่เป็นความพยายามของบรรพบุรุษทุก ๆ ท่าน แม้ปัจจุบันการล่าอาณานิคมเฉกเช่นอดีตเป็นสิ่งที่สังคมโลกไม่ยอมรับอีกต่อไป แต่การล่าอาณานิคมแฝงไม่เคยหยุดนิ่งเพียงแต่ปรับโฉมหน้าเป็นการคุกคามหรือครอบงำทางด้านเศรษฐกิจแทน ทุกเหตุการณ์ในวันนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดเลยที่ไม่มีเหตุผลและที่มา ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังควรศึกษาและเพื่อนำมาปรับใช้สำหรับพัฒนาประเทศ