ขอบคุณรูปภาพจากhttps://bit.ly/32otMElประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความสนใจจากคนไทยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน, วัฒนธรรม, ท่องเที่ยว ไปจนถึงการศึกษาตัวนักขียนเองสมัยตอนมัธยมปลายก็เคยคิดอยากจะไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น และเคยเข้าร่วมฟังแนะแนวการศึกษาต่อจากองค์กร JASSO ประเทศไทย ซึ่งเนื้อหาการแนะนแนวดังกล่าวจะเกี่ยวกับการสอบ EJU เพื่อใช้คะแนนสำหรัลการเรียนต่อ และการทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะหลาย ๆ คนคงคุ้นเคยดีกับข้อสอบที่มีชื่อว่า JLPT ซึ่งเป็นข้อสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น และมีไม่กี่คนที่รู้ว่านอกจาก JLPT แล้วยังมีข้อสอบอื่น ๆ ที่สามารถนำคะแนนไปยื่นเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นได้ด้วย หนึ่งในนั้นคือ EJU ที่นักเขียนจะมาแนะนำวันนี้นั่นเองภาพโดยนักเขียน ใครไปสอบได้บ้าง?คนที่จะสอบ EJU ได้ จะเป็นคนชาติอะไร, อายุเท่าไหร่, เพศอะไรก็ได้ไม่มีจำกัด แต่คะแนนสอบมีอายุอยู่ได้ 2 ปี ซึ่งสามารถไปทำการสอบได้ตามศูนย์ที่มีการเปิดสอบตามจังหวัดนั้น ๆ ค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายในการสอบจะมีหลายราคาแตกต่างกันทั้งประเภทของการสอบ, วิชาที่ใช้สอบ ซึ่งต้องสอบถามรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่อีกที ทำไมถึงเหมาะสำหรับเด็กไทย เพราะข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเทียบความยากของข้อสอบที่เป็นภาษาอังกฤษของประเทศไทยกับ EJU แล้ว ความยากในเรื่องของภาษาอังกฤษแฃะคำศัพท์ของ EJU จะง่ายกว่ามาก นั่นแปลว่าสำหรับเด็กไทยที่จะไปทำการสอบจะได้เปรียบ เพราะเราเคยเจอของที่ยากว่ามาแล้ว ส่วนเรื่องความยากง่ายของแต่ละวิชาจะต้องดูความถนัดของแต่ละคนอีกทีขอบคุณรูปภาพจากhttps://bit.ly/2Pnol3f มีวิชาให้เลือกสอบข้อสอบ EJU จะมีวิชาให้เลือกสอบหลายวิชาทั้งญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน, ชีวะ, เคมี, ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์ ซึ่งผู้เข้าสอบไม่จำเป็นต้องสอบทุกวิชา แต่สามารถเลือกสอบได้ตามคุณสมบัติที่มหาวิทยาลัย หรือสถานที่ทำงานนั้น ๆ ต้องการ โดยถ้าคะแนนผ่านตามเกณฑ์ค่อยไปเรียนญี่ปุ่นอีกทีก็ยังไม่สาย นอกจากนี้ทุกวิชานอกจากภาษาญี่ปุ่นจะมีการสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งถือว่าง่ายพอสมควรสำหรับเด็กไทย คนที่เรียนมาตามหลักสูตรไทยจะได้เปรียบหลาย ๆ คนอาจมีอคติกับการศึกษาของไทยที่มีการเรียนการสอนในทุกวิชา และมีเนื้อหาเยอะ แต่เรื่องนี้กลับเป็นข้อได้เปรียบสำหรับคนที่จะทำการสอบ EJU เพราะวิชากลุ่มวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จะมีความคล้ายคลึงกับเนื้อหา และโจทย์ปัญหาบ้านเรา แต่มีความง่ายกว่าข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเรามาก พูดง่าย ๆ ก็คือ ในเมื่อเราต้องเตรียมตัวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว จะไปลองข้อสอบ EJU ด้วยก็ไม่เสียหาย ขอบคุณรูปภาพจากhttps://bit.ly/32odbR1 เลือกระหว่าง JLPT กับ EJUJLPT จะเหมาะกับคนที่เรียนมาทางสายภาษาโดยเฉพาะ และมีความยากในตัวข้อสอบค่อนข้างสูงกว่า และมีเกณฑ์การผ่านที่เข้มข้นกว่า แต่สามารถนำไปยื่นสำหรับเรียนต่อ หรือสมัครงานได้หลากหลายกว่าด้วย ในขณะที่ EJU จะทำคะแนนผ่านได้ง่ายกว่ามากสำหรับคนที่มีพื้นฐาน และความเข้าใจในวิชาที่จะสอบมาพอสมควรแล้ว เหลือแค่เพิ่มคำศัพท์เฉพาะภาษาอังกฤษ และฝึกทริคในการทำข้อสอบให้เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้นเป็นพอขอบคุณรูปภาพจากhttps://bit.ly/2w5tOVv ข้อสอบสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศแต่ละแบบนั้นต่างก็มีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งเราควรจะเลือกจากหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งความถนัด, เนื้อหาของข้อสอบ และการนำคะแนนไปใช้ในอนาคต หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศนะคะ