ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในอก ผมโตมากับประโยคที่คุ้นหูว่า “ผู้ชายต้องเข้มแข็ง” ฟังบ่อย ๆ จนกลายเป็นเสาสูงในหัว ที่คอยกันไม่ให้ผมปีนออกไปบอกใครว่า เหนื่อย กลัว เสียใจ หรือสับสนยังไงบ้าง พอไม่มีที่ปล่อย ความรู้สึกพวกนี้ก็เหมือนน้ำในถังที่ค่อย ๆ เต็มจากเรื่องเล็ก ๆ ระหว่างวัน คำพูดไม่ตั้งใจจากใครสักคน งานที่พลาดเดดไลน์ การคาดหวังที่ยกให้ตัวเองสูงเกินจริง วันแล้ววันเล่า น้ำไม่เคยได้เททิ้ง มันอยู่ในใจ เงียบ แต่หนัก และผมก็เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ในการทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนบางคืนกลับบ้านมาแล้วไม่รู้จะคุยกับใคร ยังไม่ทันถอดใจดี ๆ ก็คิดวนซ้ำไปว่า “เดี๋ยวมันก็หาย” แต่ความจริงคือมันไม่หาย มันแค่ซ่อนตัวเก่งมาก คืนที่เริ่มเขียนแบบไม่ตั้งใจ มีวันหนึ่งผมเจอไอเดีย “เขียนระบาย” แบบผ่าน ๆ จำไม่ได้ว่าจากหน้าหนังสือหรือในฟีดโซเชียล แค่มันกระทบใจสั้น ๆ ว่า ถ้าเล่าให้ใครไม่ได้ งั้นเล่าให้กระดาษฟังก็ได้ ผมหาสมุดเก่า ปากกาธรรมดา ตั้งเวลาบนมือถือ 20 นาที แล้วนั่งอยู่กับตัวเองตอนเย็นโดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ว่า “ผมกำลังเยียวยา” - ไม่มีพิธี - ไม่มีหลักการ - ไม่ต้องหาว่าจะเปิดประโยคยังไง - ไม่ต้องกลัวคำผิด - ไม่ต้องสวย และต่อให้ลายมืออ่านไม่ออกก็ช่างมัน ผมแค่ปล่อยให้มือเขียนสิ่งที่หัวส่งมา ประโยคครึ่ง ๆ กลาง ๆ บ้าง คำเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาบ้าง กระทั่งว่างเปล่า ผมก็ยังเขียนคำว่า “คิดไม่ออก” หลายบรรทัดติด ๆ กันเหมือนเด็กชอบวาดเส้นทับ ๆ พอครบ 20 นาที ถ้ารู้สึกยังไม่สุด ผมก็เพิ่มอีกนิด ถ้าพอแล้ว ผมก็วางปากกา จบ ง่าย ๆ แค่นั้นเอง วันที่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ผมเริ่มด้วยสิ่งที่อยู่ตรงหน้า: “วันนี้รถติดมาก ฝนตก รองเท้าเปียก” แล้วค่อย ๆ คืบเข้าไปหาของจริงที่ค้างในใจ มันไม่ต้องต่อเนื่อง ไม่ต้องสมเหตุสมผล เพราะหน้าที่ของหน้ากระดาษไม่ใช่ศาลตัดสิน แต่มันคือเพื่อนที่นั่งฟังเฉย ๆ หลังเขียนเสร็จ…มันไม่ใช่เวทมนตร์ แต่มันเบาลงจริง ๆ ผมไม่อยากพูดให้เกินจริงว่าชีวิตเปลี่ยนในคืนเดียว แต่มัน “ขยับ” อย่างรู้สึกได้ หนักอกที่ไม่รู้จะวางตรงไหน เหมือนได้ย้ายจากอกไปอยู่บนกระดาษแทน พอความคิดกับความรู้สึกถูกถ่ายออกมา ความปะปนในหัวเริ่มแยกชั้น เห็นชัดขึ้นว่า อะไรคือความโกรธ อะไรคือความกลัว อะไรเป็นเรื่องเล็กที่เราเผลอทำให้มันใหญ่ แล้วอะไรที่ใหญ่จริงจนควรขอความช่วยเหลือ ผมหลับง่ายขึ้น ตื่นมาช้าหน่อยแต่หัวโล่งกว่าเดิม เวลามีเรื่องมากระทบในวันถัด ๆ ไป ผมไม่เดือดเร็วเท่าเดิม เพราะเหมือนมี “ช่องว่างสั้น ๆ” ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับการตอบสนอง ช่องว่างนั้นเกิดจากคืนก่อนที่เราได้คุยกับตัวเองแล้ว บางหน้าพอเขียนเสร็จผมไม่อ่านซ้ำเลย ปล่อยให้มันเป็นความลับระหว่างผมกับหน้ากระดาษ บางหน้าอีกไม่กี่วันลองเปิดกลับไปดู ก็เจอประโยคง่าย ๆ ที่ทำให้ยิ้มขำตัวเองว่า “นี่เราเครียดกับเรื่องเล็กแค่นี้จริงเหรอ” หรือ “ตอนนั้นเรากล้าพูดความจริงกับตัวเองขนาดนี้เลยนะ” ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะสวยงาม บางครั้งมันเลอะเทอะ ห้วน โผงผาง แต่ความเลอะนั่นแหละจริง มันซื่อกับเรา และพอสิ้นสุดแต่ละรอบ ผมเหมือนได้คืนพื้นที่เล็ก ๆ ในอกกลับมาอีกนิด ผมเขียนเมื่อไหร่และเขียนไปเพื่ออะไร ส่วนตัวผมลงเวลาง่าย ๆ ว่า ทุกเย็น 20 นาที ให้ตัวเองเสมอ เหมือนปิดวันด้วยการวางของหนักในมือก่อนขึ้นบ้าน แต่ก็มีจังหวะอื่นที่ผม “หยิบสมุดทันที” เช่น วันไหนที่รู้สึกอกตื้อ ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร หลังคุยกับใครแล้วใจสั่น ๆ หรือเวลางานยุ่งจนหัววุ่ย รู้ตัวอีกทีอารมณ์กำลังลากเราไปชนผนัง นอกจากนี้ ผมจะเขียนในวันที่ดีมาก ๆ ด้วย บันทึกเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้ยิ้ม เช่น กาแฟแก้วหนึ่ง เพลงที่บังเอิญเจอ ประโยคอบอุ่นจากเพื่อน การเขียนในวันที่ดีเหมือนเก็บ “เมล็ด” ไว้ให้วันที่ไม่ดีมาหยิบอ่านว่าชีวิตก็มีด้านนุ่มของมันเหมือนกัน ผมไม่ตั้งกฎว่าต้องได้กี่หน้า ไม่บังคับให้สรุปบทเรียนทุกครั้ง บางวันคือการ “ระบาย” ล้วน ๆ บางวันคือการ “พูดคุย” กับตัวเอง บางวันคือการ “ขอบคุณ” เงียบ ๆ หน้าที่ของผมมีอย่างเดียว: ซื่อสัตย์กับตัวเองในเวลาสั้น ๆ ตรงนั้น ส่วนหน้าที่ของกระดาษคือ รับไว้ ไม่ตัดสิน แล้วเก็บเป็นความลับให้ผม เล่าตรง ๆ แบบไม่สอนใคร ผมไม่รู้สูตรสำเร็จ ไม่มีเครื่องมือแพง ไม่ได้ทำวิธีนี้เพราะอยากเป็นคนบวกตลอดเวลา ผมเริ่มเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับก้อนอารมณ์ที่อยู่ข้างใน และการเขียนก็กลายเป็นทางออกที่เข้าถึงง่ายที่สุด มือผมเองยังลายมือไม่สวย บางทีอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ แต่ความหมายของมันไม่ได้อยู่ที่ความเรียบร้อย แต่อยู่ที่ “ได้ปล่อย” ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่เชื่อ ผมก็โอเค เพราะตอนแรกผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แค่ถ้าสักวันคุณอยากลอง ให้ลองแบบง่ายที่สุด สมุดหนึ่งเล่ม ปากกาหรือดินสอหนึ่งแท่ง ตั้งเวลา 20 นาที แล้วอนุญาตให้ตัวเองเขียนอะไรก็ได้ที่โผล่มาในหัว แม้จะเป็นคำเดิม ๆ หรือประโยคที่ไม่ต่อกัน แม้จะเริ่มด้วยคำว่า “ไม่รู้จะเขียนอะไรดี” ก็เขียนไปเถอะ จบเวลาแล้ววางปากกา ถ้าอยากต่อก็ต่อ ถ้าอยากปิดก็ปิด เรื่องทั้งหมดอาจไม่เปลี่ยนทันที แต่โอกาสสูงที่คุณจะรู้สึกเบาขึ้นสักนิด และนิดนั้น แปลกดีที่มันพอจะทำให้วันถัดไปเดินไหว ผมแค่อยากบอกว่า เราอาจไม่จำเป็นต้องเถียงกับใครเพื่อพิสูจน์อะไรทั้งนั้น เราแค่ต้องหาที่ปลอดภัยสักที่เพื่อเล่าให้ใครสักคนฟังและถ้าวันนี้ยังไม่มี “ใครสักคน” นั้น กระดาษหนึ่งหน้าอาจพอเป็นเพื่อนได้ชั่วคราว ผมลองแล้ว และมันช่วยผมจริง ๆ ไม่ใช่เพราะมันเก่งกว่าเรา แต่เพราะมันเปิดพื้นที่ให้เรายอมรับตัวเองมากขึ้นทีละนิด ซึ่งบางที…เท่านี้ก็พอให้หัวใจหายใจได้โล่งกว่าที่เคยเยอะแล้ว. ภาพประกอบ: ผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !