หมู่บ้านปั้นหม้อ หรือบ้านหม้อ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ระยะทางห่างจากตัวเมืองมหาสารคาม ประมาณ 5 กิโลเมตร ชาวบ้านมีอาชีพหลักคือการปั้นหม้อดินเผาขาย หลังเสร็จจากฤดูการทำนา โดยการปั้นส่วนใหญ่เป็นการปั้นแบบโบราณ ซึ่งหาได้ยากมาก วิธีการปั้นเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นนานหลายร้อยปี และยังคงมีผู้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันคุณยายต้อม อันฤดี เล่าว่า ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นพ่อกับแม่ทำอาชีพปั้นหม้อแล้ว และคนในหมู่บ้านทุกบ้านก็ปั้นหม้อขายเช่นกัน เป็นอาชีพหลักของหมู่บ้าน และตนเองก็เรียนวิธีการปั้นหม้อมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำมาเรื่อย ๆ จนเกิดความเชี่ยวชาญ ตอนนี้อายุ 65 ปีแล้วก็ยังคงปั้นหม้อขายอยู่ทุกวัน ซึ่งจากการสัมภาษณ์และสังเกตวิธีการจากคุณยายที่กำลังปั้นหม้ออยู่ ได้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการปั้นหม้อ ดังนี้วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปั้นหม้อ1. ดิน ดินที่ใช้ในการปั้นหม้อเป็นการผสมกันระหว่างดินเหนียวและดินเชื้อ ซึ่งดินเหนียวเป็นดินที่หาได้จากหนองเลิ้ง แหล่งน้ำภายในหมู่บ้าน ส่วนดินเชื้อได้จากดินโคลนผสมกับแกลบ ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เมื่อนำมาผสมกันก็จะเป็นดินที่สามารถนำมาปั้นหม้อได้2. แป้นปั้น เป็นแป้นที่ใช้สำหรับการขึ้นรูปหม้อ ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ แท่นไม้กลมสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ใช้เวลาขึ้นรูปหรือขึ้นเบ้า ผู้ปั้นจะขึ้นเบ้าและเดินไปรอบ ๆ แท่นไม้เพื่อแต่งรูปทรงของหม้อ แป้นปั้นอีกลักษณะหนึ่งคือ แป้นหมุน แป้นแบบนี้ผู้ปั้นจะยืนอยู่จุดเดียวและหมุนแป้นไปเรื่อย ๆ 3. หินดุ ทำด้วยดินชนิดเดียวกับดินที่ใช้ปั้นหม้อมีลักษณะหัวกลม ๆ รูปร่างคล้ายดอกเห็ด มีหลายขนาด ใช้สำหรับกระทุ้ง ดุน ดันหรือรองรับการตีจากด้านนอก เพื่อให้หม้อเป็นรูปทรงตามที่ต้องการ4. ไม้ลาย ทำด้วยไม้มีลักษณะรูปทรงคล้ายไม้พายเรือ มีด้ามจับ และมี 2 ด้าน ใช้สำหรับตีหม้อ เพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ5. ไม้สักคอ มีลักษณะเป็นแท่งไม้คล้ายตะเกียบแต่ขนาดอ้วนและสั้นกว่า มีการแกะลายไว้ตรงขอบไม้ เพื่อใช้สำหรับทำลวดลายลงบนคอหม้อ6. ถุงพลาสติก ใช้สำหรับขึ้นรูปปากหม้อและเช็ดปากหม้อ เพื่อให้เกิดความเรียบเนียน7. ไม้ก้อหม้อ มีลักษณะกลม ความยาวแล้วแต่ความเหมาะสมกับหม้อที่จะปั้น ใช้สำหรับม้วนดินที่เตรียมไว้ เพื่อให้เป็นรูปทรงตามต้องการ8. เครื่องผสมดิน เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ในการนวดเพื่อผสมดินเหนียวกับดินเชื้อ แทนการใช้เท้าเหยียบ เครื่องจะมีช่องด้านบนไว้ให้ใส่ดินทั้งสองลงไปรวมกัน จากนั้นเครื่องก็จะทำการนวดและส่งดินออกมาด้านข้างของเครื่อง ชาวบ้านก็จะใช้ที่ใส่ดินรอรับดินตรงจุดนั้นได้เลยวิธีการปั้นหม้อชาวบ้านจะลงไปขุดเอาดินโคลนและดินเหนียวที่อยู่ใต้น้ำ และนำไปเก็บไว้ที่บ้าน โดยใช้พลาสติกหรือผ้าคลุมไว้ไม่ให้ดินแห้ง โดยจะนำดินโคลนมาผสมกับแกลบในปริมาณเท่ากัน แล้วปั้นเป็นก้อน นำไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วเผาไฟจนแดง ดินที่ถูกเผาไฟนี้จะถูกนำมาบดหรือโขลกด้วยครกให้เป็นผง เรียกว่า ดินเชื้อจากนั้นนำดินเชื้อมานวดผสมกับดินเหนียวด้วยเครื่องผสมดินของหมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ศาลาเอนกประสงค์ข้างหนองน้ำ คนในหมู่บ้านทุกคนสามารถไปใช้งานได้ โดยวิธีนี้เป็นวิธีสมัยใหม่ มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งในสมัยก่อนชาวบ้านจะใช้วิธีเหยียบดินเพื่อผสมเองเมื่อผสมดินเรียบร้อยแล้วก็จะนำมาขึ้นรูปหม้อ โดยปั้นให้เป็นทรงคล้ายทรงกระบอกก่อน จากนั้นจึงใช้หัวแม่มือเจาะหัวท้ายให้เป็นหลุม แล้วก็ใช้ไม้ก้อหม้อเจาะเข้าตรงรูที่ทำไว้ กลิ้งไม้ก้อไปมาก็จะได้เป็นรูตรงกลางที่ทะลุถึงกัน จากนั้นก็ใช้มือแต่งรูปทรงให้คล้ายกับครก เสร็จแล้วจึงนำไปทำปากหม้อด้วยแท่นหมุน โดยจะนำหม้อไปวางบนแท่น ใช้มือหมุนแท่น แล้วจึงใช้พลาสติกลูบหือปาดไปตรงปากหม้อให้ได้รูปทรง แล้วจึงนำไปตากแดดเมื่อตากจนดินเริ่มแห้งแล้วจึงนำมาทำตัวหม้อ ด้วยการใช้หินดุและไม้ลาย โดยมือข้างหนึ่งจะถือหินดุนั้นเข้าไปข้างในหม้อ แล้วใช้หินดุดันดินเหนียวให้พองออกมา มืออีกข้างก็ใช้ไม้ลายดีรอบ ๆ หม้อ เพื่อให้ได้รูปทรงหม้อตามที่ต้องการ พอเสร็จแล้วก็นำไปตากอีกครั้งเมื่อหม้อเริ่มแห้งแล้วจึงนำมาทำการแต่งรูปทรงอีกครั้ง และทำให้พื้นผิวหม้อนั้นเรียบ ด้วยการใช้หินดุและไม้ลายเช่นเดิม ทำเหมือนขั้นตอนการทำตัวหม้อ แล้วจึงใช้ไม้ลายถูวน ๆ ที่ผิวของหม้อ เพื่อให้ผิวเรียบ จากนั้นจึงใช้ไม้สักคอตีลงไปรอบคอหม้อเพื่อให้เกิดลวดลาย ซึ่งในการปั้นหม้อทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มขึ้นรูปจะต้องใช้น้ำลูบ เพื่อให้ดินอ่อนตัวอยู่ตลอด จนถึงขั้นตอนนี้ก็เช่นกัน เสร็จแล้วก็นำไปตากแดดอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะต้องตากให้หม้อแห้งเลยเมื่อหม้อแห้งดีแล้ว ก็จะนำไปเผา ด้วยการนำไม้มาวางกองรวมกันเป็นลักษณะเหมือนแท่น โดยจะประมาณจำนวนไม้ที่นำมาวางว่าจะใช้มากน้อยเพียงใด หม้อถึงจะไหม้พอดี ไม่เสียหาย ซึ่งไม้นี้จะมีหินซึ่งเป็นเหมือนแท่นรองอยู่ด้านล่างเป็นจุด ๆ ป้องกันไม่ให้ไม้ไหม้เร็วจนเกินไป จากนั้นจึงนำหม้อมาวางลงบนกองไม้นั้น จุดไฟจนไฟติด แล้วจึงนำฟางมาคลุมด้านบนหม้อ รอประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก็จะได้หม้อดินเผาที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว(รูปภาพทั้งหมดโดย : ผู้เขียน)การปั้นหม้อนี้ เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ถ่ายทอดต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่หาเลี้ยงชีพมาจนถึงปัจจุบัน จากการสังเกตและสัมภาษณ์ทำให้เห็นว่า การปั้นหม้อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์อย่างมาก อีกทั้งยังต้องอาศัยความชำนาญที่เกิดจากการฝึกฝน และทำซ้ำมาเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงการคิดค้น การเรียนรู้ และการแก้ปัญหาของคนในท้องถิ่น ซึ่งมีการปรับประยุกต์ให้เข้ากับบริบทต่าง ๆ รอบตัว และปรับให้เข้ากับยุคสมัย ที่สำคัญภูมิปัญญานี้ก็สามารถนำมาใช้เป็นอาชีพ หาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับใครที่สนใจ และอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาการปั้นหม้อดินเผานี้ ก็สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ที่บ้านหม้อ ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามได้เลย ภายในหมู่บ้านมีการปั้นหม้อขายกันแทบทุกครัวเรือน ชาวบ้านก็น่ารัก ใจดี และพร้อมจะให้ข้อมูลกับเราอย่างเต็มที่เลยค่ะ หากไปแล้วจะต้องประทับใจแน่นอน