สรุปประเด็นเวทีอาเซียน-เอเปค ประเทศไทยผลักดันเรื่องอะไรบ้าง

วานนี้ ( 1 พ.ย. 68 )นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางกลับจากการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจต่อเนื่องจากการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย โดยทันทีที่เดินทางถึงประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุมสำคัญระดับโลกรวมสองวาระติดต่อกัน พร้อมประกาศว่าภารกิจครั้งนี้เป็นการ "นำประเทศไทยกลับมาสู่เวทีโลกอย่างชัดเจนอีกครั้ง"
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่าการประชุมทั้งสองเวทีมีลักษณะสำคัญที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการได้พบปะผู้นำแทบทุกประเทศ ทั้งแบบทวิภาคี เต็มรูปแบบ และกึ่งทางการ
สิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งคือ ก่อนและระหว่างการประชุม ผู้นำทุกประเทศได้กล่าวถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และแสดงความชื่นชมในพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ซึ่งถือเป็นการยอมรับและเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในเวทีโลก
จุดประสงค์หลัก: "เปิดตลาด" และ "สร้างโอกาส" ให้คนไทย
นายอนุทินระบุว่า จุดประสงค์หลักของการเดินทางไปประชุมคือการ "ไปเปิดตลาดให้กับประเทศไทย" และการสร้างโอกาสให้กับประชาชนในทุกมิติ โดยเฉพาะ:
1. การค้าและสินค้าเกษตร: เน้นการนำสินค้าเกษตรไปขายในราคาที่ดีขึ้น และชักชวนให้มาลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยี
2. แรงงานและการท่องเที่ยว: ขอให้มีการเพิ่มโควต้าแรงงานไทยฝีมือดีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่าแรงงานไทยจะได้รับการคุ้มครองและศักดิ์ศรี โดยมีการเจรจากับประธานาธิบดีเกาหลีใต้โดยตรง เพื่อแก้ปัญหาการสื่อสารที่ทำให้เกิดการปฏิเสธการเข้าเมืองของนักท่องเที่ยว
3. การศึกษาและฝึกอบรม: หาโอกาสให้เยาวชนไทยสามารถไปศึกษา หรือฝึกอบรมงานกับองค์กรระดับโลกเพื่อเสริมสร้างทักษะ
การวางตำแหน่งไทยสู่ "ศูนย์กลาง" ทางเศรษฐกิจ 4 ด้าน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้เน้นการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลาง (Hub) ใน 4 เรื่องหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDG) ได้แก่
1. ศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหาร (Food Security Hub): เน้นการผลิตอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมส่งเสริมการขนส่งและโลจิสติกส์
2. เทคโนโลยีด้านการสื่อสารและ Data Center: ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
3. เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy): เพื่อความยั่งยืน
4.ความมั่นคง (Security): การเตรียมรับมือวิกฤต เช่น กรณีโควิด-19 ที่เคยประสบปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ ซึ่งการมี Security ด้านต่าง ๆ จะช่วยป้องกันความเดือดร้อนของประชาชน
ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาทวิภาคีที่สำคัญกับผู้นำหลายประเทศ:
แคนาดา: หารือเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน การเป็นฮับความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่แคนาดาผลิตเองไม่ได้ และการลงทุนด้านสาธารณูปโภค เช่น ระบบขนส่งและรถไฟฟ้า
มาเลเซียและบรูไน: ตกลงทบทวน FTA เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า พร้อมหารือความร่วมมือด้านอาหารฮาลาล การเกษตร และการท่องเที่ยว
องค์กรระหว่างประเทศ: ได้พบกับระดับ President ของ World Bank และภาคเอกชน เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนและขยายฐานการผลิตในไทย
นายอนุทินกล่าวทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจว่า การได้รับความสนใจจากนานาประเทศและคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ว่า "ประเทศไทยของเรากลับเข้ามาสู่จอเรดาร์อีกแล้ว" ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ไทยต้องทำตัวให้เข้มแข็งและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา
ขณะที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าในช่วงที่ขั้วอำนาจเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยน รัฐบาลได้เร่งยกระดับภาคเกษตรของไทย จากเดิมที่เน้นเพียงการส่งออกสินค้าเกษตรต้นน้ำ ไปสู่การเป็น "ศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหารของโลก" (Food Security Hub)
การวางตำแหน่งใหม่นี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากนานาประเทศ เนื่องจากทุกประเทศกำลังมองหาความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว ซึ่งไทยมีศักยภาพและความพร้อม
กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้โอกาสนี้ในการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีของ 5 ประเทศ เพื่อขยายตลาดใหม่ และนายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้นำรวม 12 ประเทศ
และ ไทยยังได้หารือกับ 3 องค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก (World Bank), กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งทุกฝ่ายพร้อมร่วมมือกับไทย
ผลักดัน "กรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน" ชูภูมิภาคสู่เวทีโลก
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่ไทยเป็นผู้นำคือ การผลักดัน กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement : DEFA) โดยไทยทำหน้าที่เป็นประธาน ในการจัดทำกรอบความร่วมมือนี้ เพื่อเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลระหว่างประเทศสมาชิก หากทำสำเร็จ อาเซียนจะเป็น ภูมิภาคแรกของโลก ที่มีกรอบดิจิทัลในการเชื่อมโยงข้อมูล ซึ่งจะยกระดับภูมิภาคให้โดดเด่นในเวทีโลก ประเทศไทยในฐานะประธาน มีแผนจะมีการหารือเพิ่มเติมในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก่อนจะเข้าสู่การตกลงร่วมกันในเดือนเมษายนปีหน้า
นโยบายเศรษฐกิจสอดคล้องเวทีโลก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าประเด็นที่อาเซียนและเอเปคให้ความสนใจนั้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย ได้แก่ ประเด็นที่อาเซียนเน้น: Inclusivity (การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน) และ Sustainability (ความยั่งยืน) Connect (ความเชื่อมโยง), Innovation (นวัตกรรม) และ Prosperity (ความเจริญมั่งคั่งร่วมกัน) ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับนโยบาย "Quick Big Win" ของรัฐบาล ที่เน้น "กระตุ้นสั้น วางรากฐานยาว และกระจายตัว"
นางศุภจี สรุปว่า การที่หลายประเทศแสดงความสนใจขอเจรจาทวิภาคีเพิ่มเติม เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ "ประเทศไทยกลับมาอยู่ในความสนใจของโลกอีกครั้ง" และพร้อมเดินหน้าผลักดันการค้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
