ร้านอาหารแข่งดุชิงเม็ดเงินแสนล้าน เสนอขยายรายได้เป็น 3 ล้าน

สำหรับภาพรวมของโครงการคนละครึ่งล่าสุด บรรยากาศการใช้จ่ายเป็นไปอย่างคึกคักข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 หรือรวม 6 วัน นับตั้งแต่เปิดวันแรก เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 พบว่า มียอดใช้จ่ายสะสมภายใต้โครงการอยู่ที่ 12,097 ล้านบาท แบ่งเป็นภาครัฐร่วมจ่ายจำนวนกว่า 5,973 ล้านบาท และเงินที่ประชาชนใช้จ่ายเองอีกกว่า 6,124 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิสำเร็จแล้วจำนวน 17,592,444 ราย ส่วนร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบและเข้าร่วมโครงการแล้ว มีจำนวนกว่า 799,205 รายทั่วประเทศ

ขณะที่มุมมองจากผู้ประกอบการร้านอาหาร ประเมินว่าในช่วง 2 เดือนนี้ คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 ตลาดร้านอาหารจะเต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อชิงเม็ดเงินมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ซึ่งมาจากทั้งมาตรการคนละครึ่งพลัส และจากมาตรการเที่ยวดีมีคืน ที่ให้นำค่าใช้จ่ายที่พักและบริการร้านอาหาร ไปหักลดหย่อนภาษีได้มูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท

คุณ ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาในช่วงปลายปีนี้ ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบ รวมกันไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้ธุรกิจรายเล็กแข่งขันกันอย่างรุนแรง

รวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่จะใช้โอกาสนี้ สร้างตัวตนทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะเดียวกันเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่ที่เห็นโอกาสของบรรยากาศที่คึกคักกลับเข้ามาในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอีกด้วย คาดว่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมร้านอาหารในปีนี้ เติบโตได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือมีมูลค่าเกินกว่า 700,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพียง 640,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส รัฐบาลกำหนดเพดานรายได้ของผู้ประกอบการที่สามารถเข้าร่วมโครงการ ต้องไม่เกิน 1 ล้าน 8 แสนบาทต่อปี ซึ่งเรียกว่า ไมโคร เอสเอ็มอี (Micro SME) แต่ยังมีผู้ประกอบการรายเล็ก อีกจำนวนมาก ซึ่งสมาคมฯ นิยามให้เป็นเอสเอ็มอีขนาดเล็ก หรือ ไซซ์ เอส ซึ่งมีรายได้ต่อวันไม่เกิน 10,000 ถึง 30,000 บาท และเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเช่นกัน

โดย เอสเอ็มอี ไซซ์ เอส เหล่านี้ เป็นผู้เสียภาษีถูกต้อง ขณะเดียวกันต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่ไม่ได้เข้าร่วมคนละครึ่งพลัส 

และแม้ว่า จะเข้าร่วมโครงการเที่ยวดีมีคืนได้ แต่คนละครึ่งพลัส เป็นโครงการที่สร้างโอกาสและสร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการได้จริง ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ จึงยังมีความหวังที่จะเข้าร่วมโครงการในเฟสที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในต้นปีหน้า สมาคมฯ จึงเสนอให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ขยายเพดานรายได้เป็น 3 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ร้านอาหาร ไซซ์ เอส ยังต้องการการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพื่อช่วยผลักดันในการดำเนินธุรกิจต่อไป ซึ่งที่่ผ่านมา สมาคมฯ ได้มีการเสนอแพ็กเกจกระตุันร้านอาหารและการท่องเที่ยวต่อรัฐบาลไปแล้ว อย่างเช่น การลด VAT ชั่วคราวเหลือร้อยละ 5, ซอฟต์โลนดอกเบี้ยต่ำ, การสนับสนุนในการลดต้นทุนประกอบการ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าวัตถุดิบ และการอุดหนุนค่าจ้างชั่วคราว เป็นต้น