ถ้าพูดเรื่องของการตลาดแล้ว ช่วงนี้คงมีหนังสือมากมายที่เน้นเรื่องของวิธีทำการตลาดให้กับธุรกิจให้เท่าทันยุคสมัยปัจจุบัน เข้าใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด แล้วในกรณีของ Digital Marketing ล่ะ ?มันมีรายละเอียดที่ต่างจากการทำการตลาดแบบปกติมั้ย ? หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ศิริพงษ์ เตียวพิพิธพร ผู้สอนด้านการตลาดทั้งจากประสบการณ์ตรงและเคยถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนมาอย่างยาวนาน เนื้อหาภายในเล่มปรับความคิดเริ่มวิจัยวางกลยุทธ์กำหนดกลุ่มเป้าหมายเลือกสื่อนำส่งคอนเทนต์วิเคราะห์ผลลัพธ์พัฒนาทักษะ สิ่งที่ได้เรียนรู้และประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าการมองหาวิธีการทำการตลาดดิจิทัลที่ดีที่สุด คือ ทำไปทดลองไป จนได้ข้อสรุปว่าแบบไหนดีที่สุดสำหรับเรา ส่วนข้อมูลของคนอื่นเอาไว้ใช้เทียบอ้างอิงเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบอย่างคนอื่นเขาทั้งหมด เพราะทุกธุรกิจมีความแตกต่างในตัวมันเอง แม้จะเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันก็ตาม ได้เรียนรู้ขั้นตอนการสื่อสารทางการตลาด (Marketing Communication Funnel) เริ่มจากการรับรู้ ให้คนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก ตามด้วยการพิจารณาแล้วมาสู่การเป็นลูกค้าที่มุ่งหวัง จากนั้นหากลูกค้าซื้อ เขาจะเปลี่ยนจากลูกค้าที่มุ่งหวังกลายเป็นลูกค้าตัวจริง เมื่อนั้นจึงทำการปิดการขายได้ ตามด้วยขั้นตอนการสนับสนุนให้เขากลายเป็นลูกค้าระดับสาวกเพื่อช่วยในการบอกต่อให้คนอื่นรับรู้ต่อไป ได้เรียนรู้ว่า นิยามคำว่า Data Driven Marketing คือการทำการตลาดโดยอ้างอิงจากข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง และมุ่งหวังให้เกิดผลลัพธ์ทางการตลาดที่ต้องการได้มากที่สุด ได้เรียนรู้ว่าการตั้งเป้าหมายการตลาดดิจิทัลต้องประกอบด้วย SMART Goal นั่นคือSpecific เป้าหมายเฉพาะเจาะจง เช่น เพิ่มยอดขายในระบบ e-CommerceMeasurable วัดผลได้Attainable เป้าหมายสำเร็จภายในระยะเวลาเท่าใดRelevant เป้าหมายสอดคล้องกับธุรกิจตรงตาม KPITime-bound ระบุกรอบเวลาของเป้าหมายให้เหมาะสม ได้เรียนรู้นิยามของ Buyer Persona (Customer Persona) คือการสมมติลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเรา โดยเราต้องใส่ข้อมูลเพื่อกำหนดคาแร็กเตอร์ลูกค้าให้ละเอียดที่สุด เพื่อจะได้เหมาะกับการทำการตลาดดิจิทัล เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนธุรกิจในภาพใหญ่อีกด้วย ได้เรียนรู้ว่าถ้าจะเริ่มทำ Buyer Persona จะต้องอ้างอิงกับคำถาม 4W คือ Who Where What Why ได้เรียนรู้เรื่องของการทำโฆษณาออนไลน์คือ ต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มและการเข้าใช้งานด้วย เช่น Facebook Ads จะเหมาะกับโฆษณาที่กระตุ้นคนให้เกิดความต้องการ ส่วน Google Search Ads เหมาะกับการโฆษณาแบบเติมเต็มความต้องการของลูกค้า เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่า Evergreen Content คือเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีความน่าสนใจอยู่ตลอด แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม เนื้อหาเหล่านี้มักเป็นเรื่องของข้อเท็จจริง องค์ความรู้ งานวิจัย หรือ How to วิธีการใช้สินค้า เป็นต้น ได้เข้าใจว่าลูกค้าเป้าหมาย คือ คนที่แสดงตนให้เราเห็นถึงความสนใจหรือความต้องการสินค้าของเรา ซึ่งมีโอกาสกลายเป็นลูกค้าตัวจริงของเราได้ในอนาคต ทั้งนี้เราจะเรียกเขาว่าเป็นลูกค้าเป้าหมายได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลติดต่อของเขา เช่น เบอร์ติดต่อ อีเมล แชตผ่านช่องทางต่างๆ เป็นต้น ได้เรียนรู้ว่ามีเครื่องมือหลายประเภทที่ใช้วัดการเข้าถึงเรื่องของการสร้างความรับรู้กับกลุ่มลูกค้าการเข้าถึง (Reach) คือจำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์ ถ้าคนเห็นซ้ำ ค่านี้จะไม่เพิ่มอิมเพรสชัน (Impression) คือจำนวนครั้งคอนเทนต์เราที่ปรากฏการเพิ่มขึ้นของการจดจำ (Recall Lift) คือจำนวนคนที่จดจำคอนเทนต์หรือแบรนด์ได้หลังจากที่เห็นคอนเทนต์ของเรา ซึ่งเราจะได้ค่านี้ต่อเมื่อไปสำรวจแบรนด์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ความถี่ (Frequency) คือจำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่คนๆหนึ่งเห็นคอนเทนต์ของเรา คำนวณจาก Impression หารด้วย Reachคอนเวอร์ชัน (Conversion) คือจำนวนผลลัพธ์ทางตลาดที่เราต้องการ ถือเป็นค่าที่บอกไม่ได้หมายถึงอะไรกันแน่ เราต้องกำหนดรายละเอียดเอง เช่น Conversion หมายถึง จำนวนลูกค้า จำนวนครั้งการซื้อขาย จำนวนสินค้าที่ขายออก เป็นต้นROAS (Return on Ads Spend) คือ ผลตอบแทนจากการทำโฆษณา คำนวณจากยอดขายจากการโฆษณา หารด้วย ต้นทุนทำโฆษณา ค่ายิ่งสูง แปลว่ายิ่งได้ยอดขายกลับคืนมามาก ยิ่งดี การปรับใช้ในชีวิตของครีเอเตอร์ครีเอเตอร์มีอาชีพเสริมคือการขายสินค้ามือสองออนไลน์ และการทำ Affiliate สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการขายอย่างหนึ่ง แต่ครีเอเตอร์เองกลับไม่เคยใช้เทคนิคการตลาดใดๆเข้าช่วยเลยการตลาดเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี และนำเสนอข้อมูลที่ลูกค้าสนใจจริงๆ อีกทั้งยังมีรายละเอียดอีกมาก ครีเอเตอร์เองก็อยู่ในระหว่างการปรับประยุกต์นำความรู้ไปใช้ แล้วรอดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งความสำเร็จเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหนังสือเล่มนี้ถือว่าอ่านง่าย เข้าใจง่าย แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นหนังสือ How to ว่าการตลาด Digital ต้องใช้แอปอะไร กดปุ่มคำสั่งไหนอย่างไร เพราะนั่นเป็นปัจเจกของธุรกิจแต่ละประเภทหนังสือเล่มนี้จะช่วยเสริมความเข้าใจในเรื่องของนิยามการทำการตลาดที่ถูกต้อง จากนั้นหากอยากรู้มากกว่านั้นก็ค่อยเสริมเนื้อหาเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ภายนอกอีกต่อหนึ่ง ถึงตอนนั้นเราก็จะรู้ว่าเราต้องการศึกษาเรื่องไหนเพิ่ม ซึ่งถ้าชีวิตของเราไม่ได้คิดจะทำการตลาดอย่างจริงจังแล้วละก็....การอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะน่าเบื่อมาก กอปรกับคำศัพท์ในเล่มก็มีศัพท์เฉพาะทางการตลาดเป็นภาษาอังกฤษมากมายด้วย แต่ถ้าเป็นคนทำงานด้านการตลาดอยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณมากครับการตลาดออนไลน์กับการตลาดออฟไลน์มีความแตกต่างกันอย่างมาก ถ้าชีวิตเราเกี่ยวข้องกับงานขาย การที่ได้เรียนรู้การตลาดไว้บ้างก็ช่วยให้ธุรกิจส่วนตัวของเรามียอดขายเพิ่มขึ้นได้หากเราทำการตลาดออนไลน์แบบเทหมดหน้าตัก มันอาจเป็นการยิงโฆษณาที่ไม่ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไม่เกิดผลลัพธ์ที่คาดหวัง และหมดเงินไปอย่างสูญเปล่าได้ดังนั้น การตลาดออนไลน์เป็นสิ่งที่เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในระดับพื้นฐานก่อน เพื่อให้การตลาดของเราเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ และใช้งบประมาณเต็มประสิทธิภาพ เครดิตภาพภาพปก โดย our-team จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดย ผู้เขียนภาพที่ 3 โดย macrovector จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย user6724086 จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ The Visual MBAรีวิวหนังสือ Business Model Generation คู่มือสร้างโมเดลธุรกิจรีวิวหนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจรีวิวหนังสือ TESTED SELLING เดชคัมภีร์ลับ นักขายนอกตำรารีวิวหนังสือ ทำธุรกิจแบบผู้ชนะในทุกสถานการณ์ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !