วิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนา หลายคนอาจจะมองว่าสองเรื่องนี้ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้ แต่แท้จริงแล้วยังมีบางมุมที่สัจธรรมแสดงให้เห็นว่าทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนามีอะไรบางอย่างที่สอดคล้องกันอยู่ ผู้เขียน ทันตแพทย์สม สุจีรา จะนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และศาสนามาประยุกต์ถึงที่มาที่ไปว่ามีความสอดคล้องและมีความเป็นไปได้แค่ไหน โดยปัจจุบันแม้วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องภพชาติ เรื่องผลของกรรมได้ไม่ชัดเจน ก็เนื่องด้วยเหตุเพราะเรารู้ปัจจัยไม่ครบทั้งหมด สิ่งที่ได้เรียนรู้และประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าเมื่อบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณระลึกชาติ) แล้วจะรู้ว่ารูปและบทบาทในแต่ละชาติเป็นเรื่องมายา การเกิดใหม่ก็เหมือนกับการตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยชาติที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝันเรื่องยาวเท่านั้น เพียงแต่เวทนาและสัญญาที่เก็บไว้จะมาส่งผลต่อเนื่องถึงชาตินี้ และในภพก่อน ปฏิสัมพันธ์ที่เคยมีกับจิตอื่นๆจะทำให้จิตทั้งสองดวงมีความรู้สึกผูกพันธ์ฝังอยู่ในสัญญาจนถึงภพต่อไป ได้เรียนรู้ว่าทิพยจักษุญาณ คือการรู้เรื่องการเกิด-ตายของสรรพสัตว์ทั้งหลายว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้ และอาสวักขยญาณ เป็นการรู้ถึงทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และวิถีทางแห่งการดับทุกข์ ความจริงทางธรรมชาติเหล่านี้เป็นสภาวธรรมที่เข้าใจยาก จึงทำให้พระพุทธเจ้ามีพระดำริว่าจะไม่ทรงสอนการค้นพบนี้แก่ใคร ได้เรียนรู้ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่าผู้ใดก็ตามที่ฝึกสติอย่างต่อเนื่องอย่างช้า 7 ปีจะต้องบรรลุธรรมอย่างน้อยขั้นโสดาบัน ความต่อเนื่องในที่นี้คือทุกวัน ไม่ควรเว้นห่างหลายวัน ได้เรียนรู้การฝึกสติว่า เมื่อนั่งอยู่ ให้ตั้งสติพิจารณาอาการนั่ง เห็นอาการนั่ง รูปนั่งของตัวเอง ถ้าเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งกลายเป็นยืน ทุกเสี้ยววินาทีขณะเปลี่ยนอิริยาบถ สติห้ามหลุดจากอาการนั่งหนอ ยกขาหนอ ลงส้นหนอ ยืนหนอ ระยะแรกอาจจะช้าแต่หากฝึกต่อเนื่องก็จะค่อยๆทำได้เร็วขึ้น กำลังสติจะเร็วขึ้น ได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ยังใช้ศักยภาพจากกำลังสติไม่ถึงร้อยละ 10 ของที่ธรรมชาติให้มา เป็นไปได้ว่าการใช้กำลังสติสูงสุดเต็มศักยภาพ 100% อาจทำให้บรรลุอรหันต์ คือสามารถเข้าใจทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ทั้งเรื่องกายภาพ จิตของมนุษย์ การให้ผลของกรรม รวมทั้งกฎของธรรมชาติทั้งหมด ได้เรียนรู้ว่าการเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จะต้องผ่านความจริงทางโลกก่อนในญาณระดับล่าง คือ โลกียญาณ และเมื่อระดับญาณสูงขึ้นไปถึงระดับโลกุตตรญาณ ความจริงแท้ที่เป็นปรมัตถ์จึงเกิดขึ้น แปลว่า เมื่อสติไปถึงระดับโลกุตตรญาณแล้ว จะเข้าใจเรื่องทางโลกิยะทั้งหมด ได้เรียนรู้ว่าการมีกำลังสติสูงในระดับที่เข้าใจหลักอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาท ทำให้การทำความเข้าใจเรื่องทางกายภาพกลายเป็นเรื่องที่ง่าย เพียงแต่ผู้ที่บรรลุญาณส่วนใหญ่ไม่สนใจเรื่องกายภาพอีกแล้ว เพราะไม่ช่วยให้เกิดการหลุดพ้น เป็นที่มาของคำที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ความรู้ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นเปรียบประดุจใบไม้ในกำมือ สิ่งที่รู้มากมายเปรียบดั่งใบไม้ทั้งป่าเราไม่ได้สอน เพราะไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ได้เรียนรู้ว่าแม้บางคนไม่เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ แต่ก็เชื่อว่าสติมีจริง และคนเราประสบความสำเร็จได้ตามกำลังสติ ดังนั้น การฝึกเจริญสติจึงไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ฝึกวันนี้ อาจได้ผลกับตัวเอง ซึ่งหลักที่ว่านี้ก็คือหลักแห่งสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง ได้เรียนรู้ว่ากำลังสติที่สูงขึ้นทำให้เวทนาและตัณหาลดลง สติปัญญาเฉลียวฉลาด ควบคุมอารมณ์ได้ดี ความจำดี ประพฤติถูกต้องทั้งกาย วาจา ใจ น้อมนำให้เป็นที่รักของคนทั่วไป พูดง่ายๆคือคนที่มีกำลังสติสูงจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นทางโลก ได้เรียนรู้ว่าจิตเป็นตัวเลือกเกิดและเหนี่ยวนำไปสู่ภพภูมิตามที่จิตสั่งสมมา ดังนั้น ความแค้นย่อมนำพาไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี เช่น เมื่อถูกรังแกเบียดเบียน ถูกทำร้ายแต่อยู่ในวิสัยที่โต้ตอบไม่ได้ เพราะมันไม่คุ้ม แต่ใจยังแค้นอยู่ จิตจะเก็บอารมณ์นั้นไว้ไม่หายไปไหน เมื่อเกิดใหม่ก็จะไปเกิดในสังคมที่มีแต่ความรุนแรง หล่อหลอมเราให้รู้จักใช้ความรุนแรงเพื่อนำไปแก้แค้นให้สำเร็จ อกุศลจิตเหล่านี้ไม่ได้นำพาเราไปในทางที่ดีเลย อกุศลจิตเรื่องอื่นก็เช่นกัน ได้เรียนรู้ว่าวิธีตัดกรรมก็คือการอโหสิ แต่ก็ไม่ใช่ก้มหน้าทนรับกรรมไปเรื่อยๆ แต่คือการแก้ไขไปตามกำลังสติปัญญาโดยไม่เก็บมาเป็นอารมณ์เท่านั้นเอง และเมื่อกรรมหมดก็เลิกแล้วต่อกัน ไม่ต้องเจอกันอีกไม่ว่าชาติไหนๆ การที่บอกว่าเกลียดกันเหลือเกิน ขอให้ชาติหน้าอย่าเจอกันอีกจึงไม่ช่วยอะไร เพราะยังผูกเวรด้วยความเกลียดอยู่ ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครหนีเจ้ากรรมนายเวรพ้น แต่เราสามารถผ่อนหนักเป็นเบาด้วยการหมั่นทำบุญด้วยทาน ศีล ภาวนา โดยทานและศีลจะช่วยให้เราอยู่อย่างปกติสุขในทางโลก ส่วนภาวนาคือการเจริญสติ สติที่เจริญแล้วจะว่องไวพอที่จะรู้เท่าทันกิเลสตัณหา เท่าทันโทสะ ซึ่งช่วยสกัดกรรมเก่าได้ หลังจากอ่านจบ ครีเอเตอร์ก็ถามตัวเองว่าหลายสิ่งหลายอย่าง มีทั้งที่พิสูจน์ได้และยังรอการพิสูจน์ การจะบอกว่าเราไม่มีศาสนา หรือศาสนาเป็นสิ่งที่ยากแก่การเชื่อ แต่พอครีเอเตอร์ถามตัวเองลึกๆแล้วว่าจะไม่เชื่อในศาสนาจริงๆหรือ ก็ปรากฏว่าไม่ใช่...อย่างน้อยถ้าครีเอเตอร์จากโลกนี้ไปแล้ว ก็อยากให้มีการทำพิธีฌาปนกิจให้เรียบร้อย ไม่ใช่แค่สักแต่ว่าเผาเฉยๆแล้วก็จบ พูดง่ายๆคืออยากให้มีคนเผาผีให้นั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับศาสนา และชีวิตเราก็ยังคงผูกโยงกับศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตเราประสบทั้งสุขทุกข์สลับกันไป เรื่องของการมีชีวิตอยู่กับเรื่องทางจิตวิญญาณจึงเป็นเรื่องที่ลึกๆแล้วเราอยากได้คำตอบ เป็นคำตอบที่มากกว่าแค่ความเชื่อที่สืบต่อกันมา หนังสือเล่มนี้ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบนั้นได้ครับ เครดิตภาพภาพปก โดย rawpixel.com จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย rawpixel.com จาก freeoik.comภาพที่ 4 โดย mrsiraphol จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น 2รีวิวหนังสือ วิชาแรก วิชาชีวิตรีวิวหนังสือ ทวาร 6 ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเองรีวิวหนังสือ กรรม-พันธุ์ โดยทันตแพทย์สม สุจีราเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !