นักวิจัยเผยข้อมูลใหม่ทางช้างเผือกชนกับแอนดรอเมดาอาจไม่ชนกันในอีก 5,000 ล้านปี ตามที่เคยคาดไว้

นักดาราศาสตร์เปิดเผยว่า ทฤษฎีที่เชื่อกันมานานกว่าศตวรรษเกี่ยวกับการปะทะระหว่างกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) จะชนกับกาแล็กซีแอนดรอเมดา (Andromeda) อาจไม่ได้เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ และชี้ว่าโอกาสที่ทั้งสองกาแล็กซีจะชนกันในอีก 4,000–5,000 ล้านปีข้างหน้า มีเพียง 2% เท่านั้น และแม้แต่ในอีก 10,000 ล้านปีข้างหน้า ความเป็นไปได้ก็ยังอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งน้อยกว่าที่เคยเชื่อกันอย่างมาก
ทีมนักดาราศาสตร์
1. ดร. ทิลล์ ซาวาลา (Dr. Till Sawala) นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
2. ศาสตราจารย์คาร์ลอส เฟรนก์ (Prof. Carlos Frenk) จากมหาวิทยาลัยเดอรัม สหราชอาณาจักร
3. ศาสตราจารย์เจอเรนต์ ลูอิส (Prof. Geraint Lewis) จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลีย
4. สก็อตต์ ลุชชินี (Scott Lucchini) จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน สหรัฐอเมริกา
ร่วมกันให้ความเห็นประกอบการวิจัย โดยใช้การจำลองสถานการณ์ทางฟิสิกส์กว่าแสนครั้งร่วมกับข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope) และกล้องโทรทรรศน์อวกาศไกอา (Gaia Space Observatory)
กาแล็กซีทางช้างเผือกชนกับแอนดรอเมดาในอีก 5,000 ล้านปี
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) จะชนกับกาแล็กซีแอนดรอเมดา (Andromeda) คือ ทั้งสองจะพุ่งเข้าชนกันโดยตรงในอีกประมาณ 4,000-5,000 ล้านปีข้างหน้า อันเป็นผลจากแรงโน้มถ่วงที่ดึงดูดกันและกันอย่างต่อเนื่อง
ทฤษฎีการชนกันของกาแล็กซีถูกเสนอโดยนักดาราศาสตร์ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มมีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) ค้นพบว่าแอนดรอเมดาเป็นกาแล็กซีที่อยู่นอกทางช้างเผือกในปี 1924 และมีการศึกษาการเคลื่อนที่ของมันในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 20
ทฤษฎีนี้เชื่อว่าการชนดังกล่าวจะทำให้โครงสร้างของทั้งสองกาแล็กซีเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดกาแล็กซีรูปแบบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งนักดาราศาสตร์เคยคาดการณ์ว่าดวงอาทิตย์และระบบสุริยะของเราอาจจะถูกโยนออกไปยังตำแหน่งใหม่ในกาแล็กซีที่หลอมรวมกันนี้ แต่จะไม่ถูกทำลายโดยตรงจากการชน เนื่องจากระยะห่างระหว่างดวงดาวมีมากเพียงพอ
ทีมนักดาราศาสตร์หาคำตอบอย่างไร
การวิเคราะห์ใหม่นี้เกิดจากการจำลองสถานการณ์กว่า 100,000 ครั้ง โดยใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและไกอา พร้อมคำนึงถึงปัจจัยใหม่ๆ เช่น แรงโน้มถ่วงของกาแล็กซีขนาดเล็กบริวารอย่าง LMC (เมฆแมเจลแลนใหญ่) และ M33 (กาแล็กซีสามเหลี่ยม) ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของทางช้างเผือกและแอนดรอเมดาอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้เส้นทางของกาแล็กซีทั้งสองอาจเบี่ยงเบนจากการชนกันโดยตรงในอนาคต
หนึ่งในผู้นำการวิจัย ดร.ทิลล์ ซาวาลา จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ อธิบายว่า
"แม้จะมีแรงดึงดูดจากกาแล็กซีแอนดรอเมดา แต่แรงโน้มถ่วงของ LMC ก็สามารถดึงทางช้างเผือกออกจากแนวโคจรได้เล็กน้อย ซึ่งช่วยลดโอกาสของการชนลง"
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการรวมตัวกับ LMC ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายใน 2 พันล้านปีข้างหน้า ก็ยังอาจส่งผลต่อโครงสร้างของทางช้างเผือก โดยเฉพาะกับหลุมดำมวลยิ่งใหญ่ใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือก
แม้ว่าการชนระหว่างกาแล็กซีมักก่อให้เกิด “ดอกไม้ไฟจักรวาล” และการก่อตัวของดาวใหม่จำนวนมาก แต่นักวิจัยยืนยันว่าความไม่แน่นอนต่างๆ ยังคงมีอยู่จำนวนมาก ทั้งในเรื่องมวล ความเร็ว และทิศทางของกาแล็กซี ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้ายได้อย่างมาก ขณะที่ข้อมูลใหม่จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศไกอา ซึ่งจะเปิดเผยในปี 2026 คาดว่าจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนบางประการลงได้
โลกยังคงถูกดวงอาทิตย์ทำลาย
แม้ทางช้างเผือกอาจรอดพ้นจากการชนกับแอนดรอเมดา แต่โลกก็ยังสูญสิ้นไปเนื่องจากดวงอาทิตย์ของเราจะสิ้นอายุขัยในอีก 5,000 ล้านปีข้างหน้า โดยจะขยายตัวกลืนกินดาวเคราะห์ใกล้เคียง และอาจรวมถึงโลกด้วย ซึ่งเป็นภัยที่ใกล้ตัวและหลีกเลี่ยงไม่ได้มากกว่าการรวมตัวของกาแล็กซีเสียอีก ตามคำกล่าวของซาวาลา “การสิ้นสุดของดวงอาทิตย์อาจเลวร้ายยิ่งกว่าการชนกันของกาแล็กซี สำหรับโลกของเรา”
ผลการศึกษาครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2025
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
