เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก ทดสอบแระดับ 1,600-1,610+- จุด หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน พ.ค. ออกมาสูงกว่าตลาดคาด กดดัน FED ให้มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเร่งในการประชุมสัปดาห์นี้และใน 2H22 เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและถือครองดอลลาร์ ตลาดกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและอยู่ในภาวะ Stagflation
ส่วนปัจจัยในประเทศแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่สูงเท่า และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตเร่งตัวตามการเปิดประเทศทำให้การปรับลงคาดไม่รุนแรงเท่าภูมิภาคอื่นๆ อย่างไรก็ตามจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบ ประกอบกับ Valuation ของตลาดฯที่ตึงตัว และประมาณการ EPS และ SET Target ปัจจุบันที่ 1,770 จุด มี Downside เราจึงยังรอจังหวะปรับฐานของดัชนีลงต่ำกว่า 1,600 ก่อนพิจารณาเข้าลงทุนอีกครั้ง ส่วนหุ้นยังเน้นกลุ่ม Value และ Defensive Play ที่เกียวข้องกับปัจจัย 4 สินค้าบริการจำเป็น ที่มี PER/PBV ต่ำกว่าช่วงปี 2019 ก่อนมี COVID-19
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Value และ Defensive Play ที่แนวโน้มกำไร 2Q22-2H22 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือนมิ.ย. : BCP, CK, CPALL, MAJOR, SAWAD
หุ้นเด่นวันนี้ : PR9
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 16.50 บาท
• แนวโน้มกำไร 2Q22 ยังเร่งตัวแกร่ง Y-Y จากทิศทางรายได้เดือน เม.ย.-พ.ค. ทียังแข็งแรงโดยเฉพาะการรักษาโรคซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น
• ผู้บริหารคาดว่าเป้ารายได้ปีนี้ที่ +15% Y-Y อาจมี Upside เป็น +20% Y-Y จากทั้งรายได้ผู้ป่วยต่างชาติและไทยที่ฟื้นตัว ส่วนเงินเฟ้อกระทบจำกัดต่อ PR9 จากราคาที่ยังถูกกว่าโรงพยาบาลระดับใกล้เคียงกันอื่นๆ คาดกำไรปีนี้ +65% Y-Y
• แนวรับ 13.80 บาท แนวต้าน 14.80-15//15.50 บาท
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET มีโอกาสปรับลงตามดัชนีภูมิภาคจากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยวางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,610 – 1,617 แนวต้าน 1,630 – 1,640 แนะนำ Wait & See หรือซื้อกลุ่ม Defensive เช่น BH,BDMS,BLA,TQM,GULF,BEM
BEM* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 10.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการทยอยฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากการผ่อนมาตรการควบคุมและเริ่มต้นเปิดประเทศ โดย BEM รายงานปริมาณ Traffic ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเดือน พ.ค.65 อยู่ที่ 1.04 ล้านคัน/วัน (+7%MoM, +56%YoY) และ 2.3 แสนเที่ยว/วัน (+28%MoM, +154%YoY) หนุนจากโรงเรียนเปิดเทอม และการกลับเข้ามาทำงานใน Office และหากพิจารณาในช่วง เม.ย.-พ.ค.65 (QTD) พบว่าปริมาณรถบนทางด่วนเพิ่มขึ้น +34%YoY และผู้โดยสารรถไฟฟ้า +72%YoY ส่งผลบวกต่อกำไรในช่วง 2Q65 ทั้งนี้ระยะถัดไปคาดว่า Traffic จะทยอยเพิ่มทุกไตรมาสกลับมาเข้าใกล้ช่วง Pre-COVID ที่ 1.2 ล้านคัน/วัน และ 4 แสนเที่ยวต่อวัน
MINT* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 41.00 บาท) น้ำหนักการฟื้นตัวที่มีโอกาสเป็นไปอย่างต่อเนื่อง YoY โดย Core Revenue ช่วง 1Q65 ปรับตัวสูงขึ้น +66%YoY ขณะที่ทิศทางในช่วงถัดไปยังคาดว่าธุรกิจโรงแรมโดยรวมจะมี RevPar ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสัญญาณในเดือน เม.ย. ซึ่งถ้าหากเทียบกับปีปกติใน 2562 แล้ว RevPar เม.ย.65 จะอยู่ที่ -5% (ปรับตัวดีขึ้นจาก เม.ย.64 ที่ -83%) ได้ประโยชน์โดยตรงจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้าสู่ปกติโดยเฉพาะโซนยุโรป(สัดส่วนห้องราว 60% ) ขณะที่ธุรกิจ Food มีแรงหนุนจากร้านอาหารในไทยช่วง 1Q65 แต่ได้รับผลกระทบลบจากการล็อกดาวน์ในจีนและออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามคาดว่าประเด็น Covid-19 จะมีน้ำหนักน้อยลงในช่วง 2H65 ทั้งนี้ตลาดคาดว่าปี65 MINT* มีโอกาสที่จะพลิกกลับมีกำไรได้ หลังจากขาดทุนต่อเนื่องในปี64 และ 63
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ 1600-1650 จุด (สัปดาห์ที่ผ่านมา 1,632.62 จุด / -0.91%) ตลาดหุ้นวันแรกอาจปรับตัวลงมาก เพราะตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่สูงมาก และ Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ในครั้งนี้ (เดิมคาด 0.50%) และเหวี่ยงแรงอีกครั้งหลังทราบผลประชุมในวันพฤหัส(16)
จับตา Biden แก้ปัญหาเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันที่สูง (อาจลบต่อหุ้นน้ำมัน)
สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ยังดูอึมครึม การเจรจาล้มเหลว กระทบเศรษฐกิจโลก
จีบมีการล็อกดาวน์บางเมือง อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ การเปิดเมืองน่าจะช้าออกไป กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง กระทบต่อหุ้นส่งออก-เดินเรือ
ตลาดหุ้นไทย ถูกกระทบจาก เงินเฟ้อ+ผลการประชุม FOMC และจะเริ่มอภิปราย
หุ้นแนะนำประจำสัปดาห์นี้
ตลาดเข้าสู่ช่วงสำคัญ คือ รอการประชุม FOMC หากดัชนีฯ หลุด 1600 จุด(ใช้ราคาปิด) จะเป็นสัญญาณขาย (รอดู อีก 1 วัน ถ้ามากลับขึ้นมา ให้ลดพอร์ต)
ฝ่ายวิจัยแนะให้เน้นการถือเงินสดเพิ่มขึ้น เก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวรายวัน หรือตั้งรับซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี อาทิ INTUCH, KKP, PTT
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยห่วงขาลงมากกว่าที่จะกลัวหุ้นขึ้นและซื้อไม่ทัน sector ที่ต้องระวังผลจาก Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย คือ Commodity (ปิโตรเคมี, โรงกลั่นน้ำมัน) , ธนาคาร และหุ้นที่ราคาขึ้นมามากๆ
สำหรับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อเข้ามามาก จะเสี่ยงจากการถูกขาย อาทิ PTTEP, KBANK, ADVANC, BH, CPALL, BDMS, SCB, BBL
หุ้นในพอร์ตวันนี้นำ BCP, CHG, KTB ออก และเพิ่ม KKP เข้ามาแทน หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย KKP(10%), BEM(10%), BGRIM(10%)
KKP: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 70.00 บาท) “เสริมหุ้นปันผลสูง และน่าสนใจเมื่อราคาลงลึก”
- ปันผลสูงปี KTBST ประเมิน Dividend Yield ปี ‘22-23 ที่ 4.9% และ 5.4% (เทียบกับราคาปิดวันศุกร์) หากราคาปรับฐานลงในช่วงสั้น ควรทยอยซื้อสะสม
-รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตดี จาก Investment Product ที่หลากหลายและฐานลูกค้า Wealth ที่ Active, การขาดทุนรถยึดลงลงต่อเนื่อง จำนวนรถยึดลดลงมาที่ 1.5-1.6 พันคัน/เดือน เทียบกับปี ’21 ที่ 2 พันคันต่อเดือน ราคารถมือสองยังดี
- KTBST ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 7.6 พัน ลบ. และ 8.1 พัน ลบ. +20%YoY, +7.3%YoY ตามลำดับ