เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการพูดถึงเรื่องความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งบทความก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับเรื่อง “Humble Leadership ภาวะผู้นำแบบอ่อนน้อมถ่อมตน” ก็ได้มีการกล่าวถึงอยู่บ้างเช่นกัน เลยอยากจะพาท่านผู้อ่านทุกท่านมาเรียนรู้และทำความเข้าใจไปด้วยกันกับความหมายของคำว่า “ความปลอดภัยทางจิตใจ” จากหนังสือเรื่อง Psychological Safety เมื่อทำงานอย่างสบายใจ ใครก็ปล่อยพลังได้เต็มที่ (โดย มัตซึมุระ อาริ นักจิตวิทยาเชิงบวกชาวญี่ปุ่น) ได้มีการอธิบายไว้ในช่วงต้นว่า “ความปลอดภัยทางจิตใจ” หรืออีกชื่อที่เรียกว่า “ความปลอดภัยเชิงจิตวิทยา” หมายถึงสภาวะแวดล้อมที่ช่วยคุ้มครองความผิดพลาดของทุกคนอย่างอบอุ่น โดยมีการบัญญัติคำนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกโดย ศาสตราจารย์เอมี ซี. เอ็ดมอนด์สัน (Amy C. Edmondson) จาก Harvard Business School และได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “สภาพแวดล้อมที่สมาชิกในทีมต้องเข้าใจร่วมกันว่า แม้จะต้องรับความเสี่ยงด้านบุคคล แต่ทีมนี้ก็ยังมีความปลอดภัย”จากคำจำกัดความข้างต้น ผู้เขียนขอวิเคราะห์แยกออกเป็นส่วนๆ ดังนี้(1) ความเสี่ยงด้านบุคคล - เมื่อแต่ละคนมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันออกไป ย่อมเกิดความต้องการที่หลากหลาย นำไปสู่การลงมือทำด้วยแนวทางที่แตกต่างกัน มีโอกาสที่จะเกิดทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลว(2) ทีมมีความปลอดภัย - จากความเสี่ยงด้านบน โดยเฉพาะโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด หรือล้มเหลว ความปลอดภัยในที่นี้ก็คือจะไม่มีบรรยากาศของการถูกลงโทษ ถูกต่อว่า หรือโยนความผิดให้กัน ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดใจ เสียใจ ผิดหวัง เศร้าหมอง แต่จะเป็นบรรยากาศที่ทุกคนสามารถยอมรับความผิดพลาดนั้นได้ และมีทัศนคติในเชิงบวกที่จะช่วยกันหาทางปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น และมีความเชื่อร่วมกันว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น ก็อาจเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า แนวทางปฏิบัติเดิมนั้นไม่เหมาะสม และควรใช้แนวทางใหม่ ดังนั้นถ้าพูดง่ายๆ ก็คือเป็นสภาวะที่เราสามารถลงมือทำในสิ่งที่คิดได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวความผิดพลาด และได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ซึ่งก็คือสมาชิกในทีมหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดรอบตัว สภาวะแวดล้อมที่กล่าวถึงนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่สถานที่ แต่หมายรวมถึงตัวบุคคลด้วย อย่างที่เราอาจจะเคยได้ยินบางประโยคที่ว่า แต่ละคนนั้นเติบโตมาจากสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน นัยนึงก็อาจจะหมายถึงสถานที่ แต่นัยที่สำคัญไปกว่านั้นคือตัวบุคคลอย่างเช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง ยกตัวอย่างเช่นบางคนอาจจะเติบโตมาจากบ้านที่มีฐานะร่ำรวย แต่ว่าคนนั้นอาจเป็นคนที่ล้มเหลวในการใช้ชีวิต เช่น ติดยาเสพติด หรือมีปัญหาทางสังคมอื่นๆ นั่นอาจเป็นเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่จากคนในครอบครัว ในขณะที่บางคนอาจเติบโตมาจากบ้านที่มีฐานะยากจน หรือปานกลาง แต่กลับโตมาแล้วประสบความสำเร็จในชีวิต มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีอาชีพการงานที่ดี มีความก้าวหน้า และที่สำคัญคือ “มีความสุข” ซึ่งอาจจะเกิดจากความเอาใจใส่และการดูแลของคนในครอบครัวที่แตกต่างกัน นี่จึงเป็นตัวอย่างเล็กๆ ให้เห็นว่า สภาวะแวดล้อมที่กล่าวถึงอยู่นี้ ไม่ใช่สถานที่หรือสิ่งของ แต่เป็น “คน”หากขยับจากเรื่องของการใช้ชีวิตในครอบครัวมาสู่ระดับของการใช้ชีวิตในที่ทำงาน “คน” ในที่นี่ก็คือสมาชิกในทีมที่มีความใกล้ชิดและมีผลต่อความสุขทางใจ ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้า หรือ เพื่อนร่วมงาน แต่โดยส่วนมากมักจะมุ่งเป้าไปที่ตัวหัวหน้า เนื่องจากเป็นผู้ดูแลคนในทีม และเป็นผู้ประเมินผลงาน จึงมักจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของทีมงาน แต่โดยส่วนตัวมองว่า เพื่อนร่วมงานเองในบางครั้งก็มีอิทธิพลต่อจิตใจอยู่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น หากเกิดความไม่สบายใจจากหัวหน้า อย่างน้อยหันไปหาเพื่อนร่วมงาน เราก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีคนให้คุยด้วย มีคนคอยรับฟังปัญหา หรือคอยช่วยเหลือ เป็นที่พักพิงใจได้ไม่มากก็น้อย จะเห็นได้ว่าสิ่งที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระดับบุคคล เพราะดูเหมือนว่าหากเป้าหมายในการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน หากเป้าหมายนั้นคือ “ความสุข” เราจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง “การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี” เป็นอันดับแรกๆ ส่วนแนวทางการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับบทความฉบับถัดไปนะคะContent by Big Owlภาพหน้าปกทำเองจาก canva.com พื้นหลังโดย Freepik จาก Freepik.comภาพที่ 1 โดย benzoix จาก Freepik.comภาพที่ 2 โดย pressfoto จาก Freepik.comภาพที่ 3 โดย Freepik จาก Freepik.comภาพที่ 4 โดย Lifestylememory จาก Freepik.com เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !