สวัสดีผู้อ่านทุกๆ ท่านจ้า ตามที่เคยบอกไว้ในบทความรีวิวหนังสือ “พลังของคนที่กล้าทำอะไรคนเดียว” ว่าผู้เขียนจะมารีวิวหนังสือเล่มนี้กัน ก็คือ “เลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุข” เป็นหนังสือที่ออกมานานแล้วละแต่มาได้อ่านตอนนี้ มีหลายๆ ที่รีวิวพูดถึงหนังสือเล่มนี้กันแล้ว บทความนี้จะเป็นมุมมองของผู้เขียนหลังอ่านจบว่าผู้เขียนได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้บ้าง ช่วงนี้อยู่ในช่วงของสัปดาห์งานหนังสือแห่งชาติด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปอ่านบทความกันได้เลย ว่าแต่การเลิกเป็นคนดีจะทำให้มีความสุขได้จริงหรือเปล่า เขาว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใช่ไหมล่ะ สำหรับผู้เขียนหลังอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเลิกเป็นคนดีก็คือเพื่อให้เราได้บอกไปตรงๆ ตามความรู้สึกจริง ไม่ต้องปิดบัง และเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องอึดอัด เลิกเป็นคนดีที่ไม่สร้างเรื่องความเดือดร้อนให้คนอื่นๆ เพราะ คนที่เลือกคือตัวเราเองทั้งสิ้น และมาดูว่าผู้เขียนได้อะไรจากการอ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง จะเป็นสิ่งที่มาจากในหนังสือส่วนหนึ่งและตัวผู้เขียนเองจ้า ทุกคนมี "สี" ที่แตกต่างกัน ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกๆ ท่าน มีชอบสีและไม่ชอบสีนั้นๆ แน่นอน แต่ละสีก็บ่งบอกได้ว่าเป็นยังไง สีแดงก็ดูร้อนแรง สีชมพูก็จะดูสดใสหวาน สีเขียวก็ดูรักธรรมชาติ สีส้มก็ดูแสดงเป็นสีของคนรุ่นใหม่ สีขาวก็ใจสะอาด สีดำก็ดูเท่ สีฟ้าก็ดูสงบเย็น อะไรก็ว่าไปนะ แสดงให้เห็นว่าทุกๆ คนล้วนไม่เหมือนกัน คาแรกเตอร์ต่างกัน ตัวเราเป็นสีอะไรก็คือสีนั้น ให้นึกถึงพวกเหล่าเซนไต ขบวนการ 5 สี ที่ตอนเด็กต้องมีจองเลยว่าตัวสีแดงนะ สีน้ำเงินนะ หรือ นึกถึงมาสค์ไรเดอร์ก็ได้ว่าแต่ละตัวก็มีสีที่แตกต่างกัน บ่งบอกตัวตนได้ดี เห็นแล้วอยากมีเข็มขัดมาสค์ไรเดอร์ แปลงร่างเป็นตัวนั้นได้จัง ทุกคนก็ล้วนมีตัวโปรดในใจ และสีที่ชอบแตกต่างกัน เราเลือกเองได้ว่าเราอยากเป็นอะไร สีอะไร ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจ้า อย่ากลัวการโดดเดี่ยวกับการที่ต้องเอาแต่ติดตามเพื่อนตลอด ภาพจำของคนหลายคนมองว่าการอยู่คนเดียวดูน่าสงสาร เหงา เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ความเป็นจริง ไม่เลย ไม่ใช่เรื่องที่แย่ด้วย เราใช้ชีวิตยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ หนังสือเล่มนี้บอกว่าตัวเราเองเป็นคนสร้างความกลัวขึ้นมา การที่โดดเดี่ยว สิ่งที่ได้แน่นอนคือ เราสามารถเป็นของตัวเองได้ตลอด สร้างตัวตนของเราได้และบางทีก็อาจจะเป็นที่ยอมรับก็ได้ เพราะฉะนั้นจะมีหน้าตา บุคลิก ปมด้อยอะไร ไม่ต้องสนใจ เป็นตัวเองคือดีสุดแล้ว เพื่อนจะมีกี่คนก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้เป็นตัวเองอย่างสบายใจก็พอแล้วจ้า มีอะไรในใจลึกๆ ก็พูดตรงๆ ไปเลย ไม่พูดมันจะเป็นเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้เน้อ เพื่อนคนไหนที่รู้สึกอึดอัดและทำให้เราไม่สามารถไปต่อได้ก็ตัดได้เลยจ้า ไม่ต้องกังวล ยังไงเราก็ยังมีเพื่อนดีๆ ให้คุยด้วยอยู่แล้วจ้า อย่ายอมแพ้ ง่ายๆ เลย แต่ว่าก็ไม่ง่ายกว่าที่คิด เจอความพ่ายแพ้หรือคนอื่นดีกว่าก็ล้วนถอดใจแล้ว ผู้เขียนเองก็ยังตกสภาวะนี้อยู่จนถึงตอนนี้ จากการล้มเหลวไม่รู้กี่ครั้งแล้ว นับไม่ถ้วน ผู้เขียนก็มีคิดว่าสิ่งที่ผู้เขียนใฝ่ฝันที่อยากทำ มันจะไม่สามารถทำได้ ชีวิตคงถูกกำหนดแล้วว่าไม่ควรฝืนธรรมชาติ ถ้าฝืนแล้วคงไม่มีวันเป็นจริง แต่แล้วผู้เขียนก็ลองทำอีกครั้งก็ดีขึ้นและรู้ว่าเราขาดอะไรไปบ้างและปรับปรุงทำให้มันดี ผู้เขียนได้ไปศึกษาจากคนที่เก่งกว่าว่าเขาทำได้ไง ซึ่งคำตอบก็ง่ายมาก คือ ฝึกฝนให้เยอะๆ ตั้งใจ ทุ่มเทให้กับสิ่งที่ทำให้มาก แล้วถ้าไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องขยัน ผู้เขียนพบว่าหลายๆ คนเองก็ไม่ได้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ต้น มาจากการมีพรแสวงล้วนๆ กว่าที่คนบางคนจะมาถึงจุดที่เขาอยากไปให้ถึง ก็ล้วนเรียนรู้กับความล้มเหลว เจ็บปวดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผู้เขียนตอนที่เขียนว่า “อย่ายอมแพ้” ก็นึกถึงประโยคของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ที่เคยพูดไว้ว่า “เขาฆ่าเราได้ เขาเหยียดหยามเราได้ เขาดูหมิ่นถิ่นแคลนเราได้ เขาไม่เข้าใจเราได้ แต่จงอย่ายอมแพ้ จงทำงานต่อไป และวันหนึ่งก็จะประสบชัยชนะ” ลองไปฟังดูได้ที่ YouTube เน้อ มีประโยชน์มาก ยังไงทุกๆ คนที่มีฝันหรือมีเป้าหมาย ท้อแท้ หมดไฟ ก็อย่ายอมแพ้ เริ่มทำแล้วยังไม่ดีก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ให้มันดีได้จ้า บางทีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เรามีไฟก็ได้ เช่น คนที่เรารัก เป็นต้น ติดโทรศัพท์มือถือมีผลต่อการใช้ชีวิต คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้มีโซเชียลมีเดียที่ทำให้รู้ข่าวสาร โพสต์เรื่องราวตัวเองให้คนรู้ว่าเราเป็นแบบนี้นะ ดูมือถือเช็คโซเชียลมีเดียตลอด ผู้เขียนก็เป็นเหมือนกันจ้าและกำลังปรับตัวให้ลดการเล่นโทรศัพท์มือถือ ลดการติดโซเชียลมีเดียให้มากเท่าที่ทำได้ ผู้เขียนโดนดูดเวลากับสิ่งเหล่านี้เยอะจนบางทีผู้เขียนก็ขี้เกียจเลยก็มี ทั้งๆ ที่ผู้เขียนก็มีสิ่งที่อยากทำนะ แต่บางทีเปิดโซเชียลไปก็รู้สึกว่าปล่อยเลยทีนี้ อะไรที่อยากทำก็ไม่ทำละ แล้วก็เกิดเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งไป และวินัยในตัวเองก็หายไปด้วย ในหนังสือได้บอกถึงการติดโทรศัพท์มือถือว่าเป็นเหมือนการโหยหาความรักอย่างนึง เมื่อไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ โซเชียลมีเดียนี่แหละที่จะเป็นที่ที่มีความสุข เหมือนคนจิตใจกลวงเปล่าก็ต้องดื่มสุราเพื่อเติมเต็มอะไรในชีวิตตัวเอง แต่ว่ามันก็เหมือนดาบสองคม โซเชียลมีเดียเป็นเพียงอีกด้านของเรา ไม่เหมือนชีวิตจริงที่เรามีอะไรที่ไม่ได้โพสต์ลงโซเชียล ถึงมีแต่เขาจะคิดยังไงแล้วเราจะแคร์จนรู้สึกว่าติดลบไปเลยไหม สุราก็เหมือนกันที่ก็เป็นดาบสองคม ดื่มมากไปก็เสี่ยงอันตราย ยังไงเล่นโซเชียลก็อย่าลืมหน้าที่ของตัวเองด้วยละกันเน้อ เล่นเท่าที่จำเป็น ในเวลาที่จำเป็น ไม่งั้นจะละเลยการพัฒนาหรืออะไรสำคัญในชีวิตได้ โลกของอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญไปแล้วเหมือนกัน มีคนชอบและคนดูก็ทำให้มีกำลังใจเหมือนกันจ้า “สติ” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตทุกรูปแบบ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกๆ คน น่าจะเคยได้ยินว่า “ทำอะไรต้องมีสติ” ซึ่งเป็นเรื่องจริงและผู้เขียนก็ได้รับคำสอนจากพี่ๆ ที่เคยร่วมทำงานที่หนึ่งมาว่าควรมีสติ ตั้งสติ ทำอะไรพกสติด้วย ผู้เขียนเคยมองว่า "พกสติมาทำงาน" มันดูออกทางแรงๆ ไปไหม แต่ว่าไม่เลย สติ คือ สิ่งที่ทำให้เราทำอะไรได้ดี ตัดสินใจได้ดี การไม่มีสติต่างหาก ส่งผลให้ทำอะไรชั่ววูบ พูดไม่คิด โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาในอนาคต บอกเลยว่ามีสิทธิ์พังพลาดได้อย่างแน่นอนและก็จะมานึกย้อนว่าไม่ควรทำอย่างงั้นไปเลยเพียงเพราะไม่มีสติ ขาดสติที ชีวิตเปลี่ยนทันตาเห็น ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนจะมีรูปแบบความคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว คิดแบบไหนก็ต้องมีสติด้วยเน้อ หนังสือเล่มนี้ก็ผู้เขียนเจอที่ร้านหนังสือนานมากละ กว่าจะได้อ่านก็ช่วงนี้เลย และผู้เขียนใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ 1 เดือนกว่า เนื่องด้วยมีช่วงพักบ้าง แล้วเลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุขจริงไหม? คำตอบในมุมมองของผู้เขียนก็บอกเลยว่า มันมีความสุขได้จริงเพียงแต่ไม่ต้องทำตัวเป็นคนดีมากเกินไปแบบว่าเกรงใจคนอื่น เก็บความรู้สึกไว้ไม่บอกใคร ปฏิเสธก็บอกไปตรงๆ เลย ไม่ต้องกลัว มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ และก็ผู้เขียนนึกถึงเพลงนึงชื่อ "วายร้าย" ของพี่ UrboyTJ ที่วายร้ายไม่จำเป็นต้องร้ายตรงตัว วายร้ายก็สามารถเป็นพระเอก เป็นคนดีก็ได้เหมือนกัน ก็เหมือนเปลี่ยนจากบทบาทที่เป็นคนดีกลายเป็นเหมือน Anti-Hero แต่ยังมีจิตใจที่ดีอยู่ ประมาณนี้ อาจจะยกตัวอย่างได้ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาก็ขอโทษผู้อ่านด้วยละกัน แต่ว่ายังไงใครที่ไปสัปดาห์งานหนังสือแห่งชาติแล้วยังไม่ได้อ่านเล่มนี้ ก็แนะนำให้อ่านดูสักครั้งและจะทำให้ชีวิตมองอะไรต่างจากเดิมมาก ขอบคุณจ้า บทความรีวิวหนังสือที่ผู้เขียนเคยทำ รีวิวหนังสือน่าอ่าน “สู้ดิวะ” ในมุมมองของผู้เขียนหลังอ่านจนจบ รีวิวหนังสือ “พลังของคนที่กล้าทำอะไรคนเดียว” ในมุมมองของผู้เขียนหลังอ่านจนจบ ภาพปกทำโดย Canva ภาพประกอบจาก Pexels ภาพประกอบ 1 ภาพถ่ายโดย Oswaldo López ภาพประกอบ 2 ภาพถ่ายโดย Jess Bailey Designs ภาพประกอบ 3 ภาพถ่ายโดย Oleksandr P ภาพประกอบ 4 ภาพถ่ายโดย RUN 4 FFWPU ภาพประกอบ 5 ภาพถ่ายโดย zhang kaiyv ภาพประกอบ 6 ภาพถ่ายโดย Ivan Samkov ภาพประกอบบ้างส่วนถ่ายโดยผู้เขียนจ้า ช่องทางการติดตามของผู้เขียน Facebook: AmmarinJ Twitter (X): @AmmarinJ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !