เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-4745053/ สวัสดีครับท่านผู้อ่านทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องดี ๆ จะมานำเสนออีกแล้วครับท่าน....เคยได้ยินไหมคำว่า “สวดมนต์แล้วได้อะไร ทำไมต้องสวดมนต์” “สวดมนต์กันผีได้หรือไม่”หรือ “แต่ละศาสนาทำไมต้องมีการสวดมนต์” คำถามนี้มีคำตอบครับ....สำหรับการสวดมนต์นั้นนะครับถือว่าเป็นการนำหลักคำสอนในทางศาสนาแต่ละศาสนามาเผยแพร่หรือน้อมนำมาใส่ใจเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพราะว่าเนื้อหาของมนต์หรือว่าคำสวดในแต่ละศาสนานั้นจะเป็นวิถีหรือว่าเป็นแนวทางในการปฏิบัติในการลด ละกิเลสที่จะเกิดขึ้นแก่คนที่พร่ำบ่นมนต์หรือว่าสวดมนต์นั้น ๆ ในที่นี้ผู้เขียนขอนำเสนอถึงการสวดมนต์ที่ได้อานิสงส์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา มีอยู่ 5 ประการ ซึ่งผู้เขียนพอจะสรุปได้ดังนี้ 1. ผู้สวดต้องมีศรัทธาสูงสุด คือ มีความเชื่อมั่นต่อคุณของพระรัตนตรัย (พระรัตนตรัย หมายถึง แก้วสามประการ รัตนะ แปลว่า แก้ว ตรัย แปลว่า สาม ซึ่งหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระพุทธเจ้าในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ผู้เขียนขอเพิ่มเติมความรู้นิดหน่อยนะครับว่าพระพุทธเจ้ามิใช่เฉพาะแต่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราเท่านั้นแต่ยังหมายถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในพระพุทธศาสนานั้นพระพุทธเจ้าจะมีอยู่ 2 ประเภทครับ คือ 1. พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ และไม่สามารถจากถ่ายทอดหรือสั่งสอนใคร 2. พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ และสามารถสั่งสอนให้ผู้อื่นได้บรรลุธรรมตามที่ตนเองสอนได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราท่านทราบหรือไม่ครับว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 28 เห็นไหมอย่าเข้าใจผิดนะครับว่ามีแค่องค์เดียว และองค์แรก... เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-260946/ 2. ผู้สวดต้องมีความต้องมีวิริยะ หมายถึง องมีความเพียร คือผู้สวดต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจเพราะบางบทสวดต้องใช้เวลานานมากบางครั้งอาจทำให้ผู้สวดเกียจคร้าน เหนื่อย เมื่อย ง่วงนอน สำหรับการสวดมนต์นะครับผู้เขียนเคยได้ฟังจากครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า มีผลการวิจัยอยู่เรื่องหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทำน้ำมนต์เรื่องมีอยู่ว่า มีการสวดเจริญพุทธมนต์ลงในน้ำ (น่าจะขันทำน้ำมนต์) และเมื่อสวดเสร็จมีการวัดถึงความถี่หรือความสั่นสะเทือนของน้ำ 2 ขั้นระหว่างขันหนึ่งผ่านพิธีการสวดเจริญพระพุทธมนต์ อีกขันหนึ่งคือ น้ำเปล่า ๆ ไม่ได้ผ่านพิธีกรรมอะไรมาเลยผลปรากฏว่า ขันที่มีน้ำที่ผ่านการเจริญพระพุทธมนต์จะมีความถี่เหมือนมีคลื่นพลังงานอะไรบางอย่างในน้ำ แต่ขันที่เป็นแค่น้ำเปล่า ๆ กลับไม่มีคลื่นหรือพลังงานใด ๆ เหมือนขันแรก (อะไรประมาณนี้หละครับเท่าที่เคยได้ยินมา เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-292172/ 3. ผู้สวดต้องมีสติ หมายถึง ผู้สวดต้องมีความรู้สึกตัวอยู่ขณะที่เปล่งเสียงออก เพื่อให้การสวดถูกต้องไม่ผิดพลาด การออกเสียงอักขระต้องชัดเจน สติจับอยู่กับบทสวดมนต์ที่เปล่งเสียงออกมา เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-1129924/ 4. ผู้สวดต้องมีสมาธิ การสวดมนต์ต้องไม่วอกแวก ไม่กวัดแกว่งใจไปกับสิ่งรอบข้างแน่วแน่ และจดจ่อใจต่อบทสวด เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-480112/ 5. ผู้สวดต้องใช้ปัญญาพิจารณาตามบทสวด คือ ผู้สวดต้องรู้ว่าเนื้อความของบทสวดว่าด้วยเรื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง ฉะนั้นหลายท่านอาจจะเคยสวดหรือเคยเห็นว่าเวลาเราสวด หรือเวลาพระสวดท่านมักจะมีคำแปลเป็นให้เราได้ฟังด้วย เช่น บทสวดเกี่ยวกับการพิจารณาอาหารที่ผู้เขียนเคยสวดก่อนรับประทานอาหารเมื่อครั้งเข้าไปปฏิบัติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง เช่น ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ เรายอมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต เนวะ ทวายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน นะ มะทายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย นะ มัณฑะนายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ…….ประมาณนี้นะครับ เครดิตภาพจาก https://pixabay.com/images/id-1802873/ ทั้งหมดนี้นะครับหากท่านสามารถปฏิบัติได้รับรองเลยว่าจะเกิดอานิสงส์ (ได้รับผลบุญอย่างเต็ม และบริบูรณ์) อานิสงส์ของการสวดมนต์จะส่งผลให้ท่าน และครอบครัวพบแต่ความสุขความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง แล้วพุทธมนต์ที่สวดก็จะคอยปกป้องคุ้มครอง (เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ความดีรักษา เทวดาคุ้มครองคนสวดมนต์”) สำหรับวันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ....ธรรมะสวัสดีครับ....