PTT เกมฉลาดลดสัดส่วน เมื่อ Lotus ซื้อยักษ์ยาโลก

#PTT #ทันหุ้น – ผ่ามุมคิด PTT เมื่อลูก Lotus ทำการใหญ่เข้าเทค Alvogen US บริษัทยาสหรัฐ เพื่อโตกระโดด 2 เท่า ขณะที่ PTT ยอมเปิดทางโต แต่ก็ป้องกันตัวเอง ด้วยการลดสัดส่วนถือหุ้น ทำให้ Lotus กลายเป็นบริษัทร่วม ไม่ต้องแบกรับหนี้จาก Alvogen US แต่ยังมีโอกาสได้รับรางวัลก้อนใหญ่ในอนาคต
น่าสนใจจากการที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งตลาดว่า Lotus Pharmaceutical Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน ได้เข้าซื้อกิจการบริษัทยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐ คือ New Alvogen Group Holdings Inc หรือ Alvogen US มีผลสมบูรณ์ในวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา มูลค่าส่วนทุน (Equity Value) อยู่ที่ประมาณ 658 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Alvogen US นับเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน การวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทาง ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีความเชี่ยวชาญด้านยาพิเศษ มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและมีความซับซ้อน ได้แก่ ยาสามัญที่ซับซ้อน, ยาฉีด, และยาในรูปแบบพ่น ซึ่งการลงทุนนี้ช่วยให้ Lotus สามารถเข้าถึง ตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดยาที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และช่วยยกระดับศักยภาพของ Lotus ในด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการขายยาอย่างครบวงจร
ส่งผลให้บริษัทก้าวขึ้นสู่ 20 บริษัทเภสัชกรรมเฉพาะทางชั้นนำระดับโลก การที่ Alvogen US มุ่งเน้นยาที่ซับซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดที่คาดว่ากลุ่ม Complex Generics และ Biosimilars จะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 9.2% สูงกว่าตลาดยาสามัญโดยรวม
มีคาดการณ์ว่าการเข้าซื้อกิจการนี้จะช่วย เพิ่ม EBITDA โดยรวมเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับ EBITDA เดิมของ Lotus พร้อมๆ กับ อีกทั้งการได้ผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนเข้ามา อาจช่วยให้ Lotus และ PTT สามารถนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาทำตลาดในแถบเอเชียได้ในอนาคต
@ มุมคิด PTT ลดสัดส่วนถือหุ้น
ท่ามกลาง Lotus ประกาศดีลใหญ่ครั้งนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับนโยบายของ PTT ที่ประกาศลดสัดส่วนการถือหุ้น Lotus มีการอนุมัติให้จำหน่ายหุ้น Lotus จำนวนไม่เกิน 2% เพื่อปรับสถานะการถือหุ้นใน Lotus จาก บริษัทย่อย เป็น บริษัทร่วม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2568
นายเอกรินทร์ วงษ์ศิริ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ เปิดเผยกับ "ทันหุ้น" ว่า มีมุมมองเป็นบวกจากการที่ PTT ให้ Lotus เข้าถือบริษัทยายักษ์ใหญ่ พร้อมกับการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ Lotus ลง เนื่องจาก PTT ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจยา การเปลี่ยนเป็นบริษัทร่วมทำให้ PTT ไม่จำเป็นต้องเข้าควบคุมทิศทางธุรกิจโดยตรง และให้อิสระแก่ Lotus ในการดำเนินงานภายใต้ผู้เชี่ยวชาญ บอร์ดของ PTT ไม่จำเป็นต้องอนุมัติการดำเนินการต่างๆ ของ Lotus อีกต่อไป
ที่สำคัญการเป็นบริษัทร่วม ทำให้การบันทึกบัญชีในอนาคตก็จะปรับเปลี่ยนเป็นจากการรวบงบการเงิน เป็นการบันทึกเฉพาะส่วนทุน
ทำให้ไม่ต้องแบกรับหนี้ใดๆ จาก Lotus ในอนาคต โดยเฉพาะหลังการซื้อ Alvogen US ซึ่งจะมีหนี้สินอีกพอสมควร
โดยช่วงมีนาคม 2568 ที่ผ่านมาบริษัทเพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้รีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดปี 2568 โดยเป็นการระดมเงินจากหุ้นกู้รวมจำนวน 669 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นับเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เปิดทางเติบโตของ Lotus และป้องกันตัวไปพร้อมๆ กัน
PTT วันนี้อยู่ในฐานะ ผู้ลงทุน เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจยาของ Lotus ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยงกับต้นทุนการวิจัยและพัฒนาที่สูงของบริษัทผลิตยาโดยตรง แต่ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยาเป็นผู้นำ และรอถูกรางวัล เมื่อยาพัฒนาเสร็จและได้รับความนิยม
@ ไตรมาส 4 ดี เป้า 34 บาท
นายเอกรินทร์ กล่าวว่า ดีลดังกล่าวแม้จะเป็นดีลระดับโลก แต่เมื่อเทียบกับพอร์ตของ PTT แล้ว ธุรกิจยาถือว่ามีสัดส่วนที่ไม่มาก คงคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" หุ้น PTT ปรับราคาเป้าหมายไปปี 2569 ที่ 34 บาท (อิง SOTP หรือเทียบเท่า PBV ที่ 0.8 เท่า)
โดย PTT เป็นหุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอ โดยมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล อยู่ที่ 5-6% คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/2568 มีโอกาสฟื้นตัวชัดเจนขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 สาเหตุหลักมาจาก 1. ปริมาณการผลิตของหน่วยแยกก๊าซ (GSP) และหน่วยผลิตอื่นๆ สูงขึ้น เนื่องจากไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ 2. ต้นทุนก๊าซที่คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง 3. ความต้องการ LPG และผลิตภัณฑ์ก๊าซอื่นเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว 4.ธุรกิจโรงกลั่นมีการเติบโตที่ดี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
