ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยรู้มาว่า โนเกีย คือ หนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แล้วมาวันหนึ่ง โนเกียก็ต้องประสบปัญหาหนัก จนต้องขายกิจการส่วนของโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปในช่วงเวลานั้นมีคนคาดเดาเหตุผลกันไปต่างๆ นานาบ้างก็ว่าพวกเขาเข้าไม่ถึงหัวใจของลูกค้าบ้างก็ว่าพวกเขาผิดพลาด ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่จำเป็น ?แต่ในความเป็นจริงโนเกียไม่ได้พลาดในเรื่องเหล่านี้ พวกเขารู้จักลูกค้าดีพอและมีเทคโนโลยีที่ไม่แพ้คู่แข่งเลย แต่สิ่งที่โนเกียติดขัดจนทำให้เกิดความผิดพลาดร้ายแรง คือ การแปลงสิ่งที่รู้ ให้กลายเป็นการนำไปปฏิบัติต่างหากภาพโดย Firmbee จาก PixabayJulian Birkinshaw ได้วิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้โนเกียต้องกลายเป็น "ยักษ์ใหญ่ล้มดัง" ไว้ 4 ข้อกระบวนการบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง : สำหรับบริษัทใหญ่ สิ่งต่างๆ สำเร็จได้ด้วยกระบวนการบริหารจัดการ เช่น ระบบงบประมาณ การวางแผน การบริหารผลงาน การวางแผนผู้สืบทอดตำแหน่ง ฯลฯ กระบวนการเหล่านี้ทำให้การทำงานง่ายขึ้นและเป็นไปตามลำดับขั้นตอน แต่ในทางกลับกันมันก็กลายเป็นกำแพงที่คอยปกป้องตัวเองจากการเปลี่ยนแปลงด้วยแนวคิดที่เก่าและคับแคบ : อะไรที่ชี้วัดได้ก็ย่อมทำให้สำเร็จได้ แต่เราไม่ได้พิจารณาว่าสิ่งใดควรทำการชี้วัดบ้างบ่อยเพียงพอ มันจึงทำให้เรามีจุดบอดที่มองไม่เห็น โนเกียไม่ได้มองว่ากูเกิ้ลกับแอปเปิ้ลเป็นคู่แข่ง จนกระทั่งทุกอย่างสายเกินไปขาดความหลากหลาย : ผู้บริหารระดับสูงของโนเกียล้วนแต่เป็นคนฟินแลนด์ ที่มีอายุใกล้เคียงกันและพื้นฐานอื่นๆ เหมือนกัน ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ แน่นอนว่าการทำงานกับคนที่มีมุมมองต่อโลกเหมือนกันย่อมสะดวกใจกว่า แต่ผลลัพธ์มันจะนำไปสู่จุดบอดที่มองไม่เห็นในที่สุดหวาดกลัวความล้มเหลว : บริษัทยิ่งโตขึ้น มีความสำเร็จมากขึ้น ก็มักจะยิ่งหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น ผู้บริหารมักบอกว่าต้องการนวัตกรรมใหม่ๆ แต่คาดหวังให้ทั้งหมดที่คิดมาได้นั้นต้องสำเร็จเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องบอกก็คงรู้ว่าทัศนคติแบบนี้ทำให้เกิดความหวาดระแวงจนกลายเป็นไม่กล้าทำอะไรเลยภาพโดย Thomas B. จาก Pixabay และทั้งหมดนี้ สามารถตอกย้ำความจริงได้ด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ โทมัส ซิเลียกัส อดีตผู้บริหารระดับสูงของโนเกียที่ลาออกมาก่อนเกิดวิกฤติการณ์ และได้มาก่อตั้งบริษัท โมบายล์ ฟิวเจอร์เวิร์ค หนึ่งในบริษัทที่เข้าไปเสนอซื้อกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากโนเกียแข่งกับบริษัทไมโครซอฟท์โนเกียหยิ่งเกินไป พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะชนะตลอดไป พวกเขาไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาดและผู้บริโภค ที่ต้องการสิ่งที่แตกต่าง อย่างเช่น เทคโนโลยีขั้นสูง เมื่อปี 2003 เรามีตัวต้นแบบที่ดีที่สุด หน้าตาเหมือนไอโฟนเลยด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ปล่อยมันออกสู่ตลาด เขาปฏิเสธพร้อมกับบอกว่า ตลาดไม่ได้สนใจสิ่งแบบนี้แน่นอนบทเรียนของโนเกียนี้ ได้สอนให้เรารู้ว่า "ไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่จนถึงขนาดไม่มีวันล้ม" เมื่อไหร่ก็ตามที่ความหยิ่งเข้ามาครอบงำเรา เมื่อนั้นหายนะก็รออยู่อีกไม่ไกลแล้วสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือแล้วโนเกียจะสามารถกลายมาเป็นบทเรียนของ "ยักษ์ใหญ่ล้มดัง ที่ลุกขึ้นมาแล้วปังกว่าเดิม" ได้หรือไม่ !?!สำหรับคำตอบของคำถามนี้ เราคงต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตครับ แหล่งที่มา(1) Why corporate giants fail to change? Julian Birkinshaw(2) https://www.nokia.com/(3) Tomi Ahonen Consulting Analysis of Manufacturer and Industry Data, November 2013ภาพประกอบจาก (1) https://www.wallpaperuse.com/vien/hJhimb/