TOP "เอเซียพลัส" คาดกำไร Q2/65 ที่ 2.1 หมื่นลบ.ทำนิวไฮ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย
บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) หรือ TOP คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 197.5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งคาดว่าจะทำระดับสูงสุดรายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกำไรปกติที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 1.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 383.2% จากไตรมาสก่อน เพราะค่าการกลั่นที่คาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 22.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก 6.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล รวมถึงมีรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น GPSC กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนทิศทางกำไรไตรมาส 3/65 คาดจะลดลงจากไตรมาส 2/65 ตาม supply ในตลาดที่เพิ่มขึ้น และความกังวลสงครามที่ค่อยๆลดลง
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากการดำเนินปกติปี 2565-66 เป็น 3.6 และ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 342.0% และ 118.4% จากประมาณการเดิม เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการกลั่น (Market GRM) เป็น 15 และ 8 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากเดิมที่กำหนดสมมติฐานค่าการกลั่นปี 2565 และ 2566 ไว้ที่ 4.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามสถานการณ์ค่าการกลั่นในปี 2565 ที่อยู่ในภาวะผิดปกติจากเหตุการณ์สงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งนำไปสู่การ sanction พลังงานเชื้อเพลิงของกลุ่มทวีปยุโรปที่มีต่อรัสเซีย ทำให้ตลาดมีความกังวล supply น้ำมันทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะหายไปจากตลาดส่งผลให้ค่าการกลั่นในงวดไตรมาส 2/65 ปรับตัวขึ้นสูงกว่า 22.0 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งเมื่อรวมกับไตรมาส 1/65 ที่ค่าการกลั่นอยู่ที่ 6.4 เหรียญฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการกลั่นครึ่งแรกปีนี้ เฉลี่ยอยู่ราว 14.2 เหรียญฯต่อบาร์เรล
ฝ่ายวิจัยกำหนดให้ค่าการกลั่นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะอ่อนตัวลงจากงวดไตรมาส 2/65 ซึ่งถือว่าผิดปกติมากมาเฉลี่ยอยู่ราว 16.0 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ภายใต้สมมติฐานเหตุการณ์สงครามรัสเซียยูเครน รวมถึง sanction ยังอยู่ เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูง และสถานการณ์จะค่อยๆคลี่คลายลงในปี 2566 และกลับไปสู่ภาวะปกติตั้งแต่ปี 2567 ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงสมมติฐานประมาณการตั้งปี 2567 ไว้เช่นเดิม ภายใต้สมมติฐานค่าการกลั่นระยะยาวที่ราว 4.5 เหรียญฯต่อบาร์เรลภายใต้ประมาณการใหม่ส่งผลให้ประมาณการกำไรปกติปี 2565 เพิ่มขึ้นถึง 568.8%แต่จะลดลงในปี 2566 ราว 49.9% ตามสมมติฐานสถานการณ์ค่าการกลั่นจะทยอยกลับสู่ภาวะปกติ
ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้น TOP เพิ่มเป็น 67 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ 63 บาทต่อหุ้น พร้อมกับแนะนำซื้อ มองว่าราคาหุ้นลงมารับประเด็นลบต่างๆ แล้วในระดับหนึ่ง อีกทั้งทำให้ Dividend Yield สูงเกือบ 10%p.a.
ราคาหุ้น TOP ช่วงบ่ายเคลื่อนไหวอยู่ที่ 50.75 บาท ลบ 0.25 บาท หรือ 0.49% มีมูลค่าการซื้อขาย 143.05 ล้านบาท