ในปัจจุบันนี้แนวคิดที่จะสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังถ่านหินเพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ล้าสมัย หากยังขัดกับกระแสรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรงในหลายๆด้าน โดยนับวัน ความตื่นตัวของผู้คนทั่วโลกในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่น่ายินดีก็คือ ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ต่างก็หันหลัง หรือมีความคิดที่จะเลิกใช้ถ่านหิน ซึ่งเหตุผลดังกล่าว นอกเหนือจากเรื่องปัญหาสุขภาพแล้ว ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม หรือพลังงานแสงอาทิตย์ มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนได้พัฒนาอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ซึ่งผิดกับช่วง 20 ปีก่อนหน้านี้ย้อนกลับไป ซึ่งขณะนั้นการใช้พลังงานหมุนเวียนยังมีความคุ้มทุนต่ำ เนื่องจากความรู้ในเรื่องการสร้างแหล่งกักเก็บพลังงานยังมีอยู่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ หรือกังหันลมที่ใช้ในการเปลี่ยนรูปพลังงาน เป็นต้น ซึ่งมีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ว่า อีกประมาณไม่ถึง 10 ปี ในภาพรวมทั่วทั้งโลก การสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียน จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน อันที่จริงแล้วในขณะนี้ บางประเทศ เช่น อังกฤษ ก็สามารถสร้างได้ถูกกว่าแล้ว สิ่งที่เป็นสัญญาณที่ดีอีกอันหนึ่ง สำหรับอนาคตสีเขียว ก็คือ ไม่เพียงแต่กลุ่มที่รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แม้กระทั่งผู้มีตำแหน่งสูงๆในองค์กรธุรกิจเอง ต่างก็ออกมากดดันธนาคาร และสถาบันทางการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก ให้เลิกสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้านถ่านหิน และเสียงเรียกร้องเหล่านี้ ก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปเพิ่มมากขึ้น มีพลังมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จาก ธนาคาร และสถาบันทางการเงินระดับโลก อย่าง HSBC, Barclays, Standard Chartered และอีกหลายแห่ง ต่างมีนโยบายยกเลิก หรือลดการสนับสนุนธุรกิจถ่านหิน ซึ่งมีผลทำให้ บริษัทธุรกิจถ่านหินในสหรัฐ และประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก หลายแห่งต้องปิดตัวลง หลายแห่งยื่นเรื่องขอล้มละลาย ขอขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com ภาพปก ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3