สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนค่ะเมื่อเอ่ยถึง โรงสีแดง หรือ หับ โห้ หิ้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนมักจะคิดว่าเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองสงขลาที่นิยมมาถ่ายรูปกัน แต่จริง ๆ แล้ว สถานที่แห่งนี้มีแหล่งความรู้ ประวัติความเป็นมามากมายซ่อนตัวอยู่ภายใน ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เพื่อมาถ่ายรูปสวย ๆ เพียงอย่างเดียวนะคะ และในวันนี้เป็นโอกาสดี ที่เราได้กลับมาเยี่ยมเยือนเมืองสงขลาอีกครั้ง เราจึงถือโอกาสมาแนะนำอีกด้านหนึ่งของ หับ โห้ หิ้น ที่เป็นแหล่งความรู้ชั้นดีให้กับคนรุ่นหลังแบบเราค่ะหับ โห้ หิ้น เป็นคำในภาษาจีน มีความหมายว่า เอกภาพ, ความกลมกลืน และ ความเจริญรุ่งเรือง ในสมัยก่อนที่นี่คือโรงสีข้าวนั่นเองค่ะ ถือเป็นสถานที่เก่าแก่ในบริเวณเมืองเก่าสงขลา ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ตัวอาคารทาด้วยสีแดง จึงเรียกกันติดปากว่าโรงสีแดงค่ะ เมื่อก่อนอาชีพหลักของชาวบ้านในเมืองสงขลาคือทำเกษตรกรรมทำนา ที่นี่จึงเป็นโรงสีที่รับสีข้าวให้แก่ชาวบ้านหรือเกษตรกรนั่นเองค่ะเมื่อมาถึง เราก็จะพบกับมุมที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ค่ะ ที่นักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปกันตรงนี้ เห็นปุ๊บก็ทราบได้ทันทีว่าเรามาถึงหับ โห้ หิ้น กันแล้วค่ะ เราเดินเข้ากันมาด้านในกันนะคะ เมื่อเดินเข้ามาบริเวณด้านใน จะเป็นพื้นที่ให้ความรู้ แสดงความเป็นมาของเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เราขอสรุปความเป็นมาของโรงสีแดงคร่าว ๆ ตามข้อมูลที่แสดงไว้ที่นี่นะคะความเป็นมาของโรงสีหับโห้หิ้น: ในปี 2457 รองอำมาตย์ศรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) เปิดโรงสีข้าวขึ้นที่นี่ บ้านเลขที่ 13 ถ.นครนอก อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา ริมทะเลสาบสงขลา มีชื่อว่า หับ โห้ หิ้น เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึง ความสามัคคี ความกลมเกลียว ความเจริญรุ่งเรือง แต่ชาวบ้านเรียกติดปากกันว่า โรงสีแดง เพราะตัวอาคารทาด้วยสีแดง แรกเริ่มเป็นโรงสีขนาดเล็ก ต่อมามีการสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในการสีข้าวมาจากต่างประเทศ ส่งผลให้ที่นี่เป็นโรงสีที่มันสมัยมากในยุคนั้น ดำเนินธุรกิจโรงสีข้าวเรื่อยมา จนในปี 2490 มีโรงสีข้าวขนาดเล็กเปิดกิจการขึ้นมาหลาย ๆ โรงสีรอบ ๆ ทะเลสาบสงขลา ส่งผลให้ที่นี่ได้รับผลกระทบ ข้าวเปลือกส่งมาสีน้อยลง จึงได้หยุดกิจการโรงสี เปลี่ยนมาเป็นกิจการโรงน้ำแข็งขนาดเล็กจำหน่ายในชุมชน หลังจากนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการค้าขาย การดำเนินชีวิตของวิถีในชุมชน กิจการก็ต้องปรับตัว และเปลี่ยนแปลงการค้าขายให้เข้ากับภาวะนั้น ๆ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปทำกิจการโกดังเก็บยางพารา และสุดท้ายคือเป็นท่าเทียบเรือขนาดเล็กค่ะ นอกเหนือจากความเป็นมาของโรงสีแดงแห่งนี้แล้ว ยังมีความเป็นมาของเมืองสงขลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงพระราชกรณียกิจของในหลวง รัชกาลที่ 9 แสดงไว้ในพื้นที่ เพื่อให้เด็ก ๆ ยุคหลังได้ชื่นชมพระบารมีค่ะ ศึกษาข้อมูลบริเวณด้านหน้าแล้ว เราเดินเข้ากันมาด้านในกันนะคะบริเวณทางเดินจะเป็นการตกแต่งด้วยโคมไฟ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบของชาวจีนค่ะ และมีบริเวณส่วนที่แสดงข้อมูลเส้นทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 3 เมืองท่า " สงขลา สู่มรดกโลก" น่าสนใจมาก ๆ ค่ะ อีกฝั่งหนึ่งเป็นเวทีไว้สำหรับใช้ในการแสดงทางวัฒนธรรม หรือ ทางนาฏศิลป์ในโอกาสต่าง ๆ และในวันที่เรามาวันนี้ ก็มีเด็ก ๆ กลุ่มเล็ก ๆ มาซ้อมการแสดงรำไทยกันอยู่ค่ะ ไม่อยากรบกวนการแสดงของเด็กน้อย เราออกเดินสำรวจกันต่อเลยนะคะ เดินออกไปจนสุดอาคาร เราก็ได้เห็นทะเลสาบสงขลาอยู่ด้านหน้าค่ะ ตอนนี้เป็นท่าเทียบเรือ มีเรือลำน้อยใหญ่เข้ามาจอดเทียบท่าหลายลำเลยค่ะ เมื่อหันหลังกลับมาในอาคาร ก็จะเห็นปล่องไฟโรงสีที่ได้เคยใช้ในธุรกิจโรงสีสมัยก่อน ตัดกับอาคารสีแดงสดใสของตัวอาคารที่ได้ปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในตอนนี้มาที่โรงสีแดงวันนี้ เรามีความรู้สึกกับสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากในวันก่อนที่เรามาเพียงเพื่อถ่ายรูปสวย ๆ เท่านั้น ในวันนี้เราได้ความรู้มากมาย และรู้สึกรัก หวงแหน ในสถานที่นี้ เหมือนได้ย้อนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์แต่ละช่วงเวลา ณ ขณะนั้น เราเดินอ้อยอิ่งเดินชมมุมนั้น มุมนี้ สักพัก เมื่อดวงอาทิตย์ตก และฟ้าเริ่มมืด ก็ได้เวลาออกจากที่นี่ เนื่องจากจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาปิดอาคารแล้วค่ะเป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ เราอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองมาที่นี่สักครั้ง แล้วจะหลงเสน่ห์เมืองสงขลาแบบเราค่ะ ที่นี่ไม่ใช่เพียงมาถ่ายรูปสวย ๆ เท่านั้น แต่มีอดีตที่สวยงามและน่าประทับใจซ่อนตัวอยู่ให้เราได้มาเก็บความประทับใจเหมือนเราในวันนี้ค่ะแล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ สวัสดีค่ะ