" ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของคนทั่วโลก ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องสื่อสารกับคนอื่น ๆ ที่ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และยิ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยของเราก็ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เราทุกคนจึงต้องเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างท่องแท้ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานในอนาคต " เพื่อน ๆ คงจะพอมองออกแล้วใช่ไหมคะ ว่าทำไมประเทศไทยของเราจึงมีการจัดการเรียนการสอนให้กับทุก ๆ ระดับชั้น ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย บางคนอาจโชคดีหน่อยที่ได้เรียนและฝึกฝนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เล็ก ๆ แต่สำหรับบางคน การที่ต้องมาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในช่วงอายุที่มากขึ้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก วันนี้ ผู้เขียนเลยนำเอาเรื่องราวและประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษที่เริ่มต้นจากศูนย์ของผู้เขียนเอง มาแบ่งปันเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่กำลังพยายามและตั้งใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษอยู่ค่ะPhoto credit: pixabay.com ย้อนไปเมื่อ10ปีก่อน ผู้เขียนเป็นเด็กน้อยบ้านนอกคนหนึ่งที่มีโอกาสเรียนในโรงเรียนเล็ก ๆ ใกล้บ้าน ในโรงเรียนจะเปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ชีวิตในวัยเรียนของผู้เขียนก็เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป อาจจะมีไปแข่งขันกีฬา แข่งขันทักษะบ้าง แต่ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเลย ผู้เขียนเรียนจบระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยทักษะภาษาอังกฤษเพียงแค่การท่อง A-Z ซึ่งในตอนนั้น ผู้เขียนก็ให้ทางเลือกแก่ตนเองว่า ถ้าหากผู้เขียนจะเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้เขียนคงจะรียนต่อทางด้านศิลป์-ภาษาแน่ ๆ เพราะตนเองอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มากกว่านี้ แต่เนื่องด้วยสิ่งแวดล้อมในหลาย ๆ ด้าน ผู้เขียนพลาดโอกาสการเรียนภาษาอังกฤษครั้งนั้นไป เพราะจำเป็นเรียนต่อในอีกสาขาหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า ความหลากหลายในอาชีพและการเรียนต่อ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดีอย่างที่คิด "แม้ว่าเราทุกคนจะเก่งแค่ไหน ถ้าหากเราเลือกทำในสิ่งที่ตัวเราไม่ถนัด ผลที่ได้ย่อมออกมาไม่ดีเท่ากับการทำอะไรด้วยใจรัก" และนั้นคือสิ่งที่ผู้เขียนประสบปัญหาในการเรียนมัธยมปลายค่ะ การเรียนในสิ่งที่ไม่ถนัดและไม่มีใจรัก แม้ว่าเราเรียนได้แต่ก็ใช่ว่าจะมีความสุขนะคะ เพราะนอกจากเราจะไม่มีความสุขกับการเรียนแล้ว ยังทำให้เราพลาดโอกาสต่าง ๆ ที่เราอยากจะทำไปด้วย แต่ในวิกฤตก็ย่อมมีโอกาสดี ๆ ให้เสมอ นี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้เขียนได้หันกลับมาสนใจและตั้งใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง หลังจากที่เรียนจบในระดับชั้นมัธยมปลายค่ะPhoto credit: pixabay.com จุดเริ่มต้นการเรียนภาษาอังกฤษของผู้เขียน เริ่มต้นขึ้นในช่วงชีวิตของการเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากที่เรียนจบระดับชั้นมัธยมปลาย ผู้เขียนได้สอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เพื่อน ๆ อาจจะสงสัยใช่ไหมคะว่าผู้เขียนจะเรียนได้ยังไง จะเรียนจบได้ไหมในเมื่อไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษเลย ฮ่า ๆ นั้นคือสิ่งที่ผู้เขียนคิดมาตลอดเช่นกันค่ะ สำหรับปีแรกที่เรียนภาษาอังกฤษแบบเต็มตัวในรั้วมหาวิทยาลัย มันค่อนข้างเป็นไปอย่างลำบากเลยค่ะ ผู้เขียนไม่มีพื้นฐาน ไม่รู้คำศัพท์ และสื่อสารได้แค่งูๆ ปลา ๆ ในตอนนั้นสิ่งที่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุด คือ ความลำบากค่ะ วันแรกที่ก้าวเข้าไปพักหอ วันแรกที่ก้าวเข้าไปเรียน ผู้ปกครองต้องจ่ายค่านั้นค่านี้ ต้องหาเงินและสู้เพื่อลูกจนเลือดตาแทบกระเด็น ทุก ๆ ครั้งที่ไปเรียนผู้เขียนคิดแค่ว่า จะตั้งใจเรียนให้มากที่สุดเพื่อวันหนึ่งคนที่ส่งเรียนจะได้ชื่นใจและจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ในปีแรกนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นปีของการทดลองก็ได้ค่ะ ไม่มีใครรู้เลยว่าการเรียนปีแรกของตนเองจะออกมาดีแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ปฏิบัติและอยากนำมาแชร์ให้กับทุกท่านที่กำลังจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย คือ ความใส่ใจค่ะ ผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกท่านพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาที่อาจารย์สอนให้ครบถ้วนในรายวิชานั้น ๆ จากนั้นทำสรุปเนื้อหาที่เรียนและทำความเข้าใจเป็นภาษาของตนเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เราสอบผ่าน ยังทำให้เราซึมซับและเริ่มมีพื้นฐานโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยค่ะPhoto credit: pixabay.com พอขึ้นปี 2 การเรียนภาษาอังกฤษของผู้เขียนเริ่มดีขึ้นกว่าวันแรกที่ก้าวขาเข้าไปเรียนมาก ๆ ผู้เขียนเริ่มเข้าใจและศึกษาความรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองมากขึ้น ตรงไหนที่ยังไม่รู้และไม่มีพื้นฐานมากเพียงพอ ก็หาส่วนนั้นมาเติมเต็มให้ตัวเอง โดยในวันนี้ ผู้เขียนได้นำเคล็ดลับและวิธีการหาความรู้มาเติมเต็มให้ตนเอง มาแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ข้างล่างนี้ค่ะ ขั้นแรก: เราต้องพิจารณาก่อนว่าตนเองยังขาดหรือยังบกพร่องในส่วนไหน ขั้นที่สอง: การลำดับความสำคัญ ให้เพื่อน ๆ พิจารณาว่าในส่วนที่เรายังบกพร่องอยู่นั้น มีสิ่งไหนบ้างที่เราจำเป็นต้องนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียน (ผู้เขียนแนะนำให้ทุกท่านเริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ก่อนนะคะ หรือไม่งั้นก็เน้นเนื้อหาที่เรายังบกพร่องแต่จำเป็นต้องไปใช้กับการเรียนก่อน จะได้เรียนทันเพื่อน ๆ แล้วค่อยหาเวลาว่างเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ ควบคู่กันไปค่ะ) ขั้นที่สาม: หลังจากที่เรียงลำดับเนื้อหาที่เราอยากจะเรียนรู้/ศึกษาเพื่อเติมเต็มให้กับตนเองแล้ว ให้ทุกท่านจัดสรรเวลาตามที่ทุกท่านสะดวกได้เลยค่ะ หากมีฐานคำศัพท์น้อย: ผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกท่านลองหาหมวดคำศัพท์ง่าย ๆ ที่ใจเราอยากจะเรียนรู้มาท่อง/ทำความเข้าใจก่อน จากนั้นค่อยเริ่มเรียนรู้ศัพท์ที่มีระดับความยากมากขึ้น ซึ่งตัวช่วยที่จะทำให้การท่องศัพท์ของเราง่ายขึ้นนั้นคือการใช้สี ทุกท่านสามารถใช้ไฮไลต์หรือสีไม้ ขีดเขียนลงไปบนแผ่นคำศัพท์ของเราได้นะคะหากไม่มีพื้นฐานแกรมม่าร์: ผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกท่านลองค้นหาแกรมม่าร์สำคัญ ๆ จาก Google/หนังสือ/ช่องทางอื่นๆ แล้วลิสต์หัวข้อสำคัญไว้ เช่น พวก Part of speech, Tense, ประโยคต่างๆ จากนั้นค่อย ๆ ศึกษาในแต่ละหัวข้อที่เราลิสต์ไว้ค่ะ สิ่งสำคัญสำหรับการเรียนแกรมม่าร์ที่ผู้เขียนอยากแนะนำคือ ให้ทำความเข้าใจแทนการท่องจำค่ะ เพราะสำหรับแกรมม่าร์ การท่องจำแบบท่องศัพท์จะทำให้เราจำได้เพียงแค่ครู่หนึ่ง แต่การทำความเข้าใจจะทำให้เราจำและนำไปใช้ได้ตลอดค่ะหากฟังบทสนทนาไม่รู้เรื่อง/สื่อสารไม่ได้: การดูหนัง ฟังเพลงภาษาอังกฤษ เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้ค่ะ ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ฟังไม่ออกสนทนาไม่ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนสามารถพัฒนาทักษะเหล่านั้นให้ที่ดีขึ้นได้ 70%มาจากการดูหนัง ฟังเพลงและเปลี่ยนสิ่งรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษค่ะ Photo credit: pixabay.com ผู้เขียนมีคติอยู่ว่า " ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คนหนึ่งที่ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังก็คือ ตัวเราเอง " ฉะนั้นเวลามีสอบทุกครั้ง ผู้เขียนจะบอกกับตัวเองว่า " อย่าทำให้ตัวเองผิดหวังนะ " ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ผู้เขียนต้องอ่านหนังสือเยอะ ๆ ให้เข้าใจเนื้อหาที่จะสอบ จะได้ไม่มานั่งเสียใจ และพูดว่าน่าจะอ่านตรงนั้น น่าจะอ่านตรงนี้ทีหลัง และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาก ๆ ทุกท่านลองนำคตินี้ไปใช้ดูนะคะ หลังจากที่ได้พัฒนาภาษาอังกฤษอย่างจริงจังมาเป็นเวลา 2 ปี ผู้เขียนก็เริ่มมีโอกาสได้ติวหนังสือให้เพื่อนบ้าง เริ่มมีโอกาสทำงานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ และได้เริ่มทำเพจภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาตนเองและแชร์ความรู้ให้กับคนรอบข้างค่ะ ในชั้นปีที่3 การเรียนภาษาอังกฤษเริ่มง่ายขึ้นมาก ๆ ความพยายามและความตั้งใจในอดีตมันไม่สูญเปล่าเลยค่ะ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านตั้งใจและพยายามต่อไปนะคะ ผู้เขียนมั่นใจว่าทุกสิ่งที่ทุกท่านทำก็จะไม่สูญเปล่าและจะเกิดประโยชน์กับทุกท่านแน่นอน ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจดวงเล็กๆ ให้ทุกคนที่กำลังตั้งใจและมีความสนใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษนะคะ มันไม่จำเป็นเลยว่าเราจะเก่งหรือเราจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนไหน จะวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว หรือวัยทำงาน ขอแค่ทุกคนมีใจรัก มีความพยายามอย่างเต็มที่ และไม่ทำให้ตนเอง/คนข้างหลังผิดหวัง มันอาจจะยากหน่อย แต่ผู้เขียนเชื่อว่าทุกๆคนทำได้และจะไม่ด้อยไปกว่าใครเลยค่ะ สู้ๆนะคะ^^ Photo credit: pixabay.comรูปภาพหน้าปก: Photo by Kaboompics .com from Pexels