เมี้ยว เมี้ยว.....แมวน้อยแสนน่ารักเล่มนี้หรือ กำลังจะบอกอะไรกับเรา ความจริงแล้วเจ้าของแมวต่างหากที่หยิบยกบริบทตัวเองเทียบกับแมว แล้วสะท้อนมุมมองหนึ่งว่า แมวไม่เครียดหรือกังวลขนาดนั้นเลย ถือเป็นข้อคิดเรื่องการใช้ชีวิตที่น่าสนใจ โดยประเด็นที่เล่มนี้ต้องการจะสื่อ แบ่งออกเป็น 5 หมวด ได้แก่..... เพื่อน ความรัก งาน คนแปลกหน้า ตัวเอง JAM อดีตพนักงานบริษัทเทคโนโลยีแล้วผันตัวลาออกมาเป็นนักวาดการ์ตูน freelance ได้ถ่ายทอดแนวคิดชีวิตส่วนตัวได้อย่างน่าสนใจ เธอโพสต์การ์ตูนแมวพร้อมบทความประกอบ จนได้รับการแชร์อย่างล้นหลามจนรวมเล่มออกมาครั้งนี้เป็นเล่มที่ 3 ของเธอ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.เรามักพูดกันว่าใช้ชีวิตให้สมเป็นตัวเองจะดีกว่า เพราะ การฝืนใช้ชีวิตโดยข่มกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้เป็นสิ่งที่ทรมาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเป็นตัวเองแค่แบบเดียว 2.บางครั้งเราก็อยากวางมาดสักนิดต่อหน้าคนที่ชอบ หรือ อยากรักษาภาพลักษณ์ในอุดมคติเอาไว้ตอนอยู่ที่ทํางาน แม้ในเวลาแบบนั้นเราจะทําตัวต่างออกไปจากตอนอยู่บ้านเล็กน้อย แต่นั่นก็คือตัวตนของเราเหมือนกัน เพียงแต่เป็นอีกด้านที่เราปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์เท่านั้นเอง แทนที่จะพะวงว่า “ต้องเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่” สู้ปรับเปลี่ยนตัวตนไปตามสถานการณ์ดีกว่า 3.ตอนที่รู้สึกไม่มั่นใจในการกระทําของตัวเองหรือพะวงกับสายตาของคนอื่น บางทีเราก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ต้องทําตัว สุภาพเข้าไว้...” จริงอยู่ที่การอยาก “เป็นคนสุภาพเรียบร้อย” อย่างบริสุทธิ์ใจ และพยายามทําตัวให้ได้ตามนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าแค่พยายามทําตัวสุภาพเพราะอยากเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ หรือหวังผลประโยชน์บางอย่าง เมื่อความแตกขึ้นมา เราก็จะสูญเสียความเชื่อใจจากคนอื่นไปโดยใช่เหตุ แถมการที่ต้องสวมหน้ากากไปเรื่อย ๆ ยังเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจอีกด้วย 4.เราไม่จําเป็นต้องสุภาพกับเพื่อนก็ได้ ขอแค่ “รู้จักกาลเทศะ”ก็พอ เพราะถ้าทําตัวสุภาพมากเกินไป เรา อาจโดนเพื่อนเข้าใจผิดว่า “ไม่อยากเปิดใจให้กัน” เอาได้ แทนที่จะยึดติดกับความสุภาพ ลองเปลี่ยนมาเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับเพื่อนดู 5.โชคร้ายล้วนมีสาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น บางคนโชคร้ายเพราะเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ไม่ได้โดนจับขังเอาไว้ เรา ก็น่าจะยังพอมีหนทางในการหนีจากสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นสาเหตุของความโชคร้ายอยู่ เช่นเดียวกับที่การมีความสุขตลอดเวลาเป็นเรื่องยาก การโชคร้ายตลอดเวลาเองก็เป็นเรื่องยากพอกัน ดังนั้น ถ้ารู้สึก ว่าตัวเองโชคร้ายอยู่เสมอ ก็แสดงว่าเราไม่พยายามที่จะหนีจากโชคร้ายนั่นเอง มนุษย์เราชอบเห็นใจคนที่อ่อนแอหรือคนที่โชคร้าย คนเหล่านั้นจึงมักจะได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนจนไม่อยากปล่อยมือจากความโชคร้ายของตัวเองไป หากเพื่อนเอาแต่บ่นว่าตัวเองโชคร้ายโดยที่ไม่พยายามจะหนีจากโชคร้ายนั้นเลย ต่อให้เราอยากช่วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้ 6.การคิดว่า “อยากถูกรัก!” ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะไม่ว่า ใครก็คงอยากถูกรักมากกว่าอยากถูกเกลียดอยู่แล้ว นอกจากนี้ การสารภาพรักกับคนที่ชอบก็เป็นสิ่งที่ควรทํา เพราะมีความ เป็นไปได้ว่าความกล้านั้นจะนําไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งสําหรับใครหลายคน การได้รับความรักตอบกลับมาคงถือเป็นความสุข ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่การคิดว่า “ในเมื่อฉันรักคุณ คุณก็ต้องรักฉันตอบ” เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องค่ะ ต่อให้เรารู้สึกว่า “ฉันชอบคนคนนี้ เท่านั้น” ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนกันเสมอไป หรือต่อให้ใจตรงกัน แต่ในบางจังหวะเวลาอีกฝ่ายอาจจะรู้สึก แย่หรืออ่อนล้าจน “ไม่มีแก่ใจจะทําอะไร” ในเวลาแบบนั้น ถ้าเขาต้องมาทุ่มเทความรักให้เรา เราก็อาจจะรู้สึกเหมือนกับได้เติมเต็มพลังงาน แต่อีกฝ่ายจะถูกเราช่วงชิงพลังกายและพลังใจไป ทําให้ความรักกลายเป็นสิ่งที่หนักอึ้งขึ้นมา ดังนั้น เราจะคิดว่าอยากถูกรักก็ได้ แต่อย่าเรียกร้องให้อีกฝ่ายรักตอบจะดีกว่า 7.ถ้าเราได้รับความรักตอบกลับมาเท่าที่ให้ความรักกับอีกฝ่ายไปก็คงมีความสุขสุดๆไปเลย แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ความรักไม่ใช่สิ่งที่วัดเป็นตัวเลขได้ เราจึงไม่อาจตรวจสอบได้ว่าตัวเองได้รับความรักเท่าที่ให้ อีกฝ่ายไปหรือเปล่า สิ่งที่ทําได้มีเพียงสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย แล้วตัดสินด้วยความรู้สึกของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงเกิด ความไม่มั่นใจว่าตัวเองเป็นที่รักของอีกฝ่ายไหม 8.คนส่วนใหญ่น่าจะอยากได้รับความรักจากคนอื่น แต่แทนที่จะยึดติดกับการถูกรัก ฉันอยากให้คุณลองเป็นฝ่ายมอบความรักให้คนอื่นดู เพราะการมีทัศนคติว่า “คนที่ไม่ยอมชอบ ฉันน่ะช่างมันเถอะ!” จะยิ่งทําให้คนอื่นเว้นระยะห่างจากเรา จริงอยู่ว่าเราอาจจะไม่ได้รับความรักตอบกลับมาเสมอไป แต่ ฉันคิดว่าคนที่ชอบมอบความรักให้คนอื่นนั้นมีโอกาสที่จะถูกรักมากกว่าคนที่เอาแต่คิดว่าอยากได้รับความรักค่ะ 9.ถ้ารู้สึกทรมานก็ควรรีบหนีไปซะ บางคนอาจจะบอกว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถหนีได้ ไม่มีใครให้พึ่งพา ไม่อาจต่อต้านบริษัทได้ หรือลาออก ไม่ได้ แต่นอกจากเพื่อนหรือเจ้านายแล้ว คุณยังสามารถพึ่งพา หน่วยงานราชการ สหภาพแรงงาน หรือสํานักงานให้คําปรึกษา ได้เช่นกัน ต่อให้บริษัทไม่ยอมอนุมัติการลาออกให้คุณ แต่โดย ทั่วไปแล้วถ้าคุณจ้างทนายก็จะแก้ปัญหานี้ได้ มันอาจจะยุ่งยากและต้องใช้เงินบ้าง แต่การปกป้องตัวเองสําคัญกว่า 10.มนุษย์เราไม่ได้ถูกล่ามเอาไว้แบบเดียวกับ สัตว์ แต่ที่หนีไปไหนไม่ได้เป็นเพราะจิตใจถูกพันธนาการไว้ หรือถูกทําร้ายจิตใจจนทําให้ไม่อาจหลบหนีได้ด้วยตัวเอง การกดขี่ข่มเหงในที่ทํางานนั้นไม่ต่างอะไรกับการทรมาน สัตว์ แม้ฝ่ายกระทําจะใช้ข้ออ้างที่ฟังดูสวยหรูว่า “เป็นการสอน งาน” หรือ “แค่แหย่เล่นเอง” แต่ความจริงแล้วมันไม่ต่าง อะไรกับข้ออ้างของพวกชอบทรมานสัตว์ที่ว่า “สั่งสอนหนักมือ ไปหน่อย” ดังนั้น ถ้าคุณรับรู้ถึงอันตรายก็ต้องหาทางหนี ออกมาให้ได้ บางครั้งสัญชาตญาณก็สําคัญกว่าเหตุผล ไม่ว่า จะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ เวลาตกอยู่ในอันตรายก็ควรหนีไป 11.เวลาที่คุณรู้สึกเหมือนโดนใครบางคนดูถูก ความจริงแล้ว อาจเป็นตัวคุณเองนี่แหละที่กําลังดูถูกเขาอยู่ หรืออย่างกรณีที่อีกฝ่ายเป็นคนที่เรานับถือมาก ต่อให้โดนเขาดูถูก เราก็จะไม่คิดอะไรมาก คิดว่าเข้าใจผิดไปเอง หรือไม่ก็คิดว่าการโดนดูถูกเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เราจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อโดนดูถูกในสถานการณ์ตอนที่เราคิดว่า “ไม่อยากโดนคน พรรค์นี้ดูถูกเลย” 12.เวลาที่เราโดนดูถูกโดยคนที่มีสถานะต่ำกว่า ตัวเองหรือคนที่ไม่ได้เคารพนับถือ เราจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ทันที ทว่าการที่เราคิดกับคนอื่นว่า “เธออยู่ต่ำกว่าฉัน” หรือ “ฉันไม่ได้เคารพนับถือคุณเลยสักนิด” นับเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก และตีความได้ว่าตัวเราเองก็กําลังดูถูกอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน ดังนั้น เวลาที่คุณรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ฉันอยากให้คุณ ลองสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วทบทวนดูว่าตัวเองคิดอย่างไรกับอีกฝ่าย ไม่แน่ว่าคุณอาจจะแค่ไม่ชอบเขาเฉยๆ ก็ได้ แต่ถ้านั่นคือการโดนดูถูกจริงๆ คุณก็ควรเว้นระยะห่างจากเขา 13.ถ้าเราทำงานแล้วได้รับการประเมินที่ดีก็ถือเป็นเรื่องน่าดีใจ ทว่าบางครั้งแม้เราจะพยายามแล้ว แต่ก็อาจไม่ได้ผลตอบรับอย่างที่คาดหวัง หรือได้รับการประเมินที่ไม่ดีแทน เวลาที่เราทำงานอะไรสักอย่าง เราจะได้รับการประเมินอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางครั้งจุดที่เรา อยากได้รับการชื่นชมกับจุดที่อีกฝ่ายชื่นชมกลับไม่ตรงกัน ทำให้ได้รับคําชมหรือถูกมองข้ามในจุดที่นอกเหนือความคาดหมาย ซึ่งเราคงกล่าวได้เพียงว่า “มันก็เป็นแบบนี้แหละ” 14.คนเราทุกคนย่อมคิดไม่เหมือนกัน ดังนั้น อย่าหดหู่ท้อแท้เมื่อไม่ค่อยได้รับการชื่นชมทั้งที่พยายามไปมาก ถึงคุณจะได้รับการประเมินที่ไม่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนไปทำงานที่อื่นก็อาจมีคนเห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณทำก็ได้ แถมบางครั้งเราทำได้ดีแต่ก็อาจโดนบอกว่า อย่าเหลิงไปหน่อยเลย หรือเวลาที่เราทำพลาดก็อาจมีคนชื่นชมในความพยายามของเรา ถ้าเราเข้าใจว่าการทำงานมันก็เป็นแบบนี้แหละ... ก็จะช่วยให้สบายใจขึ้น 15.บางครั้งเราอาจจะรู้สึกอิจฉาคนอื่นที่ได้ครอบครองบางสิ่ง แต่พอเราได้สัมผัสหรือครอบครอง สิ่งนั้นบ้าง มันอาจจะกลายเป็นพิษกับเราก็ได้ ต่อให้เรา แย่งงานที่ใฝ่ฝันมาจากใครสักคนได้ แต่พอได้ลองทําจริง มันก็อาจจะไม่ราบรื่นและประสบความล้มเหลว หรือกรณีที่เรามองว่าคนรักของคนอื่นดีเลิศ สมมุติว่าได้คบกับคนคนนั้นจริง ๆ เราอาจจะพบว่านิสัยไม่เข้ากันก็ได้ มีหลายกรณีทีเดียวที่จู่ๆเราก็ได้ครอบครองสิ่งที่ฝันไว้แบบไม่ทันตั้งตัว แต่มันกลับสร้างความกดดันอย่างมากจนเราคิดว่าก่อนหน้านี้ยังดีเสียกว่า ดังนั้น เวลาที่รู้สึกอิจฉาคนอื่น ฉันจะคิดว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา แต่อาจเป็นพิษกับฉันก็ได้นะ แม้ผู้เขียนอย่าง JAM จะไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือในแง่ของการเป็นผู้นำด้านความคิดและการใช้ชีวิต แต่เชื่อว่าสิ่งที่เธอนำเสนอต้องสะกิดใจใครหลายคนแน่ๆเลย ผลงานที่มีแมวเป็นภาพประกอบจึงได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จในฐานะนักวาดการ์ตูน เครดิตภาพ ภาพปก โดย Fabian Wiktor จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Pixabay จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Pixabay จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ THE SECRET TO LOVE, HEALTH, AND MONEY รีวิวหนังสือ THINGS NO ONE TAUGHT US ABOUT LOVE เรื่องที่ไม่มีใครสอนเราเกี่ยวกับความรัก รีวิวหนังสือ ULTIMATE SKILLS ทักษะจำเป็นแห่งอนาคต เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !