WHAอัพเป้าปีนี้2.75พันไร่ 2ยักษ์ยานยนต์จีนจ่อซื้อที่
WHA แม่ทัพหญิง "จรีพร จารุกรสกุล" ลั่นผลงานปี 2566 ทำออลไทม์ไฮ อัพเป้ายอดขายที่ดินสิ้นปีนี้พุ่ง 2.75 พันไร่ จากเดิมที่วางไว้ 1.75 พันไร่ เนื้อหอมยักษ์ใหญ่ยานยนต์จากจีน 2 รายเรียงคิวจีบซื้อที่ รวมกันกว่า 800-900 ไร่ มีแบ็กล็อกในมืออีกกว่า 1 พันไร่ กว่าครึ่งจะส่งมอบในช่วงที่เหลือปีนี้ ด้านธุรกิจน้ำ-ไฟ ยังเติบโตสอดคล้องกลุ่มนิคม
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปี 2566 ใหม่ เป็นแตะที่ระดับกว่า 2,750 ไร่ เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายในช่วงต้นไตรมาส 3/2566 ที่ได้มีการปรับขยับขึ้นไปเป็น 2,500 ไร่ และจากเป้าหมายเดิมในช่วงต้นปีที่วางไว้ 1,750 ไร่ สะท้อนต่อความต้องการย้ายฐานลงทุนเข้ามายังประเทศไทยของต่างชาติ
*ยักษ์ใหญ่จีนจ่อซื้อที่
โดยในตอนนี้บริษัทยังคงได้รับความสนใจในการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ รวมถึงยังมีแผนเดินสายให้ข้อมูลสร้างความรู้และความเชื่อมั่นใจการลงทุนให้กับลูกค้าต่างประเทศในหลายภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการเจรจากับลูกค้ายานยนต์รายใหญ่จากประเทศจีนที่มีความต้องการซื้อที่ดินมากกว่า 600 ไร่ และมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 500 เมกะวัตต์ต่อปี เบื้องต้นจะพยายามเร่งผลักดันให้ดีลจบทันภายในสิ้นปี 2566 นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปี 2567 และยังมีลูกค้ายานยนต์รายใหญ่จากจีนอีก 1 ราย ที่ต้องการซื้อที่ดิน 200-300 ไร่
ซึ่งดีลดังกล่าวยังไม่ถูกนับรวมกับยอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ของบริษัทที่ปัจจุบันมีอยู่ในมือ (Backlog) อีกกว่า 1,000 ไร่ ที่จะทยอยส่งมอบกว่าครึ่งในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้ นอกจากนี้บริษัทยังมีดีลที่อยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญาซื้อขายในมืออยู่อีกประมาณ 700-800 ไร่ ที่ก็คาดหวังว่ากว่าครึ่งจะสามารถทำสัญญาได้ภายในสิ้นปีนี้ด้วยเช่นเดียวกัน จากปัจจัยที่กล่าวมาทำให้มองว่าทั้งในแง่ของยอดขายและผลการดำเนินงานในปี 2566 จะทำ All Time High ได้อีกครั้ง
ปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรม 13 แห่งในประเทศไทยและเวียดนาม คิดเป็นพื้นที่รวม 71,300 ไร่ อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่อีก 1 แห่ง และส่วนขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 3 แห่งในประเทศไทย รวมพื้นที่ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา 5,700 ไร่ สำหรับในประเทศเวียดนาม บริษัทเร่งการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเหงะอาน เฟส 2 ที่มีพื้นที่รวมกว่า 2,215 ไร่ ให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ส่วนนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่อีก 2 แห่งอยู่ในกระบวนการขอใบอนุญาตลงทุน
ธุรกิจโลจิสติกส์นั้น มุ่งขยายการเติบโตให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในประเทศ และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในประเทศเวียดนาม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อีคอมเมิร์ซ และอุตสาหกรรมที่เป็น New S-Curve นอกจากนี้ยังส่งเสริมการสร้างพันธมิตรในระยะยาว โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมีการลงนามสัญญาเช่าโครงการใหม่รวม 200,000 ตารางเมตร และมีสินทรัพย์ภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารรวมทั้งสิ้น 2,900,000 ตารางเมตร
ส่วน Office Solutions บริษัทยังเดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานบนทำเลที่ดีเยี่ยมของกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 โครงการ บนพื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร และเริ่มขยายสู่โครงการพาณิชยกรรมรูปแบบใหม่ๆ อย่างไลฟ์สไตล์รีเทลสเปซ พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ใกล้สถานีบีทีเอสสุรศักดิ์ ถนนสาทร ที่พร้อมเปิดช่วงต้นปี 2567 และโครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางในย่านสาทร พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ที่ในตอนนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
**น้ำ-ไฟขยายตัว
ธุรกิจสาธารณูปโภคยังคงเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยธุรกิจน้ำอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงผลิตน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และบำบัดน้ำ 1.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 4/2566 นี้ เพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนหาโอกาสการขยายตลาดสู่ลูกค้าภายนอกนิคม
ล่าสุดบริษัทได้มีการลงนามในสัญญาการซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ให้กับลูกค้า 2 รายในนิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE4 คิดเป็นปริมาณน้ำรวม 4.6 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2566 จะมีปริมาณยอดจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม น้ำมูลค่าเพิ่ม และปริมาณการบำบัดน้ำเสียในประเทศไทยและเวียดนามรวมทั้งหมด 168 ล้านลูกบาศก์เมตร
ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และขยายสู่ตลาดใหม่ในประเทศอื่น ๆ ควบคู่กับการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งการหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจเพื่อสร้าง New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี (BESS : Battery Energy Storage Systems) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) การซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS)
เป้าหมายปี 2566 บริษัทจะมีการเซ็นสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) เพิ่มเติมหลายโครงการและคาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 192 เมกะวัตต์ โดยมีเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมจากโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) รวมทั้งสิ้น 300 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ 847 เมกะวัตต์