9 ผลกระทบจากการทำลายป่าไม้ ต่อสิ่งแวดล้อม มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อ่านเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล การตัดไม้ทำลายป่าเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลกระทบกว้างไกลกว่าที่หลายคนคิดค่ะ เพราะไม่ได้ทำให้ต้นไม้หายไปเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศโดยรวมด้วย เนื่องจากต้นไม้มีบทบาทสำคัญในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ รักษาความชุ่มชื้นของดิน และปรับสมดุลอุณหภูมิของอากาศ เมื่อป่าถูกทำลาย บทบาทเหล่านี้ก็หายไปตามธรรมชาติ จึงทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ และความเสียหายต่างๆ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้วค่ะ แต่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนเราทุกคนโดยตรง ดังนั้นความสำคัญของการรู้เกี่ยวกับผลเสียจากการตัดไม้ทำลายป่าจึงจำเป็น เพราะเป็นการสร้างความตระหนักให้คนทั่วไปได้เข้าใจว่า ทุกการกระทำมีผลต่อสุขอนามัยและคุณภาพชีวิต ซึ่งการสูญเสียป่าไม่ได้หมายถึงการสูญเสียธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการหายไปของอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งการรู้เท่าทันผลเสียที่ผู้เขียนจะได้นำเสนอต่อไปนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้ทรัพยากรที่ฟุ่มเฟือย สนับสนุนการปลูกป่า หรือร่วมมือกันรักษาพื้นที่สีเขียวที่เหลืออยู่ได้ค่ะ หากทุกคนเห็นความสำคัญ ปัญหานี้ก็สามารถบรรเทาและป้องกันได้ก่อนที่จะสายเกินไปค่ะ และต่อไปนี้คือผลกระทบที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการตัดไม้ทำลายป่า 1. ทำให้เกิดการเสื่อมคุณภาพของน้ำดื่มและน้ำใช้ เมื่อพูดถึงการตัดไม้ทำลายป่า หลายคนอาจนึกถึงเพียงแค่การสูญเสียต้นไม้และสัตว์ป่า แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ใกล้ตัวกว่านั้น คือ น้ำดื่มและน้ำใช้ที่เราขาดไม่ได้ในทุกวันค่ะ เนื่องจากป่าไม้ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำธรรมชาติ คอยกรองน้ำฝนให้ซึมลงดินอย่างช้าๆ และคงคุณภาพน้ำให้สะอาดก่อนจะไหลเข้าสู่ลำธารหรือบ่อน้ำ เมื่อป่าหายไป น้ำฝนกลับไหลบ่าอย่างรวดเร็ว พัดพาสิ่งสกปรก สารเคมี และดินโคลนลงแหล่งน้ำโดยตรง ทำให้น้ำที่ควรจะสะอาดกลายเป็นแหล่งของสิ่งปนเปื้อนและมลพิษ โดยสิ่งนี้สามารถส่งผกระทบได้ทั้งต่อสุขอนามัยของคนที่ต้องใช้น้ำโดยตรง และเพิ่มค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบของชุมชน ดังนั้นการรักษาป่าก็เหมือนการรักษาแหล่งน้ำสะอาดที่หล่อเลี้ยงชีวิตเรา หากปล่อยให้ป่าถูกทำลาย คุณภาพน้ำก็จะเสื่อมลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นะคะ 2. เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่กระทบต่อสุขอนามัยได้ คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การตัดไม้ทำลายป่าไม่เพียงทำให้ธรรมชาติสูญเสียความสมดุลเท่านั้น แต่ยังทำให้อุณหภูมิในพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน เพราะป่าไม้มีหน้าที่คอยให้ร่มเงาและรักษาความชุ่มชื้นในอากาศ เมื่อป่าถูกโค่น อากาศก็จะร้อนขึ้น ฝนตกน้อยลง และเกิดภาวะอากาศแปรปรวน ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลโดยตรงต่อสุขอนามัยของคนในชุมชนได้ ทั้งจากที่มีอากาศที่ร้อนจัดมากเกินไป และมีอากาศเย็นจัดหรือเปลี่ยนแปลงเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นยังทำให้อาหารและน้ำเสียเร็วขึ้น เสี่ยงต่อการปนเปื้อนจุลินทรีย์มากขึ้น ดังนั้นการรักษาป่าไม้จึงเปรียบเสมือนการรักษาเครื่องปรับอากาศธรรมชาติ ที่ช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยที่ดีในระยะยาวได้ค่ะ 3. เพิ่มความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยที่ติดต่อได้จากสัตว์สู่คน หลายคนยังมองไม่ออกว่า การตัดไม้ทำลายป่าไปทำให้สัตว์ป่าต้องสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ จึงถูกบังคับให้ออกมาใกล้ชิดกับคนมากขึ้น ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมหรือชุมชน ซึ่งสิ่งนี้เพิ่มความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความเจ็บป่วยที่ติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ หรือที่เรียกว่า โรคติดต่ออุบัติใหม่ เพราะความใกล้ชิดระหว่างคนกับสัตว์ ไปเปิดโอกาสให้สิ่งที่ก่อความเจ็บป่วยได้ที่เคยจำกัดอยู่แค่ในสัตว์ สามารถปรับตัวและแพร่สู่คนได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัญหานี้กระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของทุกคนได้ค่ะ เพราะการแพร่ระบาดมักรวดเร็ว ควบคุมได้ยาก และสร้างภาระต่อระบบสาธารณสุข ดังนั้นการอนุรักษ์ป่าก็เท่ากับการสร้างเกราะป้องกันธรรมชาติ ลดโอกาสการปะทะกันระหว่างคนกับสัตว์ป่า และช่วยลดความเสี่ยงจากความเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 4. พบปัญหาด้านมลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น รู้ไหมคะว่า การทำลายป่ามักตามมาด้วยการเผาป่า เผาซากพืช หรือการใช้พื้นที่เกษตรกรรมในรูปแบบที่ก่อให้เกิดควันพิษและฝุ่นละออง โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็ก (PM2.5) ที่ลอยอยู่ในอากาศและเข้าสู่ระบบหายใจของคนได้โดยตรง ซึ่งมลพิษทางอากาศนี้เองสามารถส่งผลต่อสุขอนามัยได้อย่างชัดเจน จึงทำให้คนจำนวนมากมีอาการไอ หอบ เหนื่อยง่าย และเกิดความเจ็บป่วยอย่างอื่นเพิ่มขึ้น อีกทั้งฝุ่นควันยังทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นแย่ลง ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการเดินทางด้วยนะคะ ไม่เพียงเท่านั้นเด็กและผู้สูงอายุยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะร่างกายอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ปัญหามลพิษทางอากาศจึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมค่ะ แต่คือภัยใกล้ตัวที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยของทุกคนในสังคม หากไม่รักษาป่า ปัญหานี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นะคะ 5. เกิดภัยพิบัติที่กระทบต่อชุมชนได้ หลายคนยังไม่รู้ว่า การตัดไม้ทำลายป่ามักเปิดทางให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นง่ายและรุนแรงกว่าปกติ เพราะเมื่อไม่มีรากไม้คอยยึดดิน น้ำฝนที่ตกลงมาจะชะดินไหลบ่าลงมาทันที เกิดเป็นน้ำป่าไหลหลากหรือดินถล่มที่พัดพาชุมชนเสียหายอย่างกะทันหัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขอนามัยของคนในพื้นที่ เช่น การบาดเจ็บ การเสียชีวิต รวมถึงการระบาดของความเจ็บป่วยจากน้ำท่วมขังด้วย และยังทำให้คนในชุมชนที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติมีภาวะเครียด วิตกกังวล และขาดแคลนอาหารสะอาดน้ำดื่มที่ปลอดภัย แถมการฟื้นฟูยังยากและใช้เวลานานมาก ดังนั้นการรักษาป่าไม้จึงเป็นเหมือนการสร้างกำแพงธรรมชาติ ที่ช่วยลดความรุนแรงของภัยพิบัติ และเป็นการปกป้องทั้งบ้านเรือน สุขอนามัย และคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไปพร้อมกันค่ะ 6. สูญเสียสมุนไพรและพืชที่ใช้ในสาธารณสุข เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย สิ่งที่หายไปไม่ได้มีแค่ต้นไม้ใหญ่หรือสัตว์ป่าเท่านั้นนะคะ แต่ยังรวมถึงพืชสมุนไพรและพืชท้องถิ่น ที่เคยเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญทางการแพทย์ด้วย เพราะหลายชุมชนพึ่งพาสมุนไพรจากป่าในการรักษาความเจ็บป่วยพื้นฐาน แต่เมื่อป่าถูกโค่น สมุนไพรจะลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนต้องหันไปพึ่งพายาแผนปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งยาบางอย่างมีราคาสูงขึ้นและอาจไม่เข้าถึงง่ายในพื้นที่ห่างไกลค่ะ นอกจากนี้นักวิจัยและวงการสาธารณสุขยังสูญเสียโอกาสในการค้นพบตัวยาใหม่ๆ ที่อาจช่วยรักษาความเจ็บป่วยเรื้อรังและร้ายแรงได้ในอนาคต ดังนั้นการสูญเสียสมุนไพรจากป่าจึงไม่ใช่แค่เรื่องธรรมชาตินะคะ แต่เป็นการสูญเสียคลังยาธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงทางสุขอนามัยโดยตรง หากไม่อนุรักษ์ป่า วันนี้เราอาจไม่ได้รับผลทันที แต่ในอนาคตสังคมจะเผชิญกับปัญหาการเข้าถึงยาที่สำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ 7. ทำให้การเพิ่มจำนวนของแมลงและสัตว์พาหะนำความเจ็บป่วยในคน การที่ป่าไม้ถูกทำลายไป จะทำให้วงจรธรรมชาติที่เคยช่วยควบคุมสมดุลของสิ่งมีชีวิตก็ถูกรบกวนไปด้วยค่ะ เพราะเมื่อสัตว์นักล่าที่เคยควบคุมจำนวนแมลงหรือสัตว์ขนาดเล็กบางชนิดลดลง จะส่งผลให้แมลงและสัตว์พาหะ เช่น ยุง หนู และแมลงสาบ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นพาหะของความเจ็บป่วยที่เป็นอันตรายต่อคนเราได้ และถ้าเกิดการแพร่กระจายในกว้างขึ้นจะยิ่งควบคุมได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนที่ขาดระบบสุขาภิบาลที่ดีนะคะ ดังนั้นปัญหานี้เชื่อมโยงกับสุขอนามัยของคนโดยตรง เพราะประชาชนต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุขที่ต้องจัดการทั้งการรักษาและการควบคุม จึงพูดได้ว่าการอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ใช่เพียงเพื่อธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันภัยเงียบจากความเจ็บป่วยที่มากับพาหะ ซึ่งส่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนทั้งสังคมได้ในระยะยาวค่ะ 8. ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต รู้ไหมคะว่า การที่พื้นที่สีเขียวหายไปทำให้ผู้คนขาดแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และขาดอากาศบริสุทธิ์ในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจค่ะ ตลอดจนความเครียดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด มลพิษทางอากาศ และภัยพิบัติที่เกิดบ่อยขึ้น ยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ชุมชนที่ต้องเผชิญการสูญเสียพื้นที่ทำกินหรือบ้านเรือนเพราะป่าเสื่อมโทรม ยังทำให้ผู้คนรู้สึกหมดหวัง ขาดความมั่นคง และคุณภาพชีวิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการรักษาป่าไม้ไม่ใช่เพียงเพื่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนยารักษาใจ ที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี ความเป็นอยู่ที่มั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนในสังคมค่ะ 9. มีการเสื่อมโทรมของดินและผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร เมื่อป่าไม้ถูกทำลายลง ความอุดมสมบูรณ์ของดินก็เสื่อมโทรมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ จากที่รากไม้ที่เคยช่วยยึดเกาะหน้าดินและเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินหายไป ทำให้ดินถูกชะล้างง่าย สูญเสียแร่ธาตุสำคัญและความร่วนซุยที่เหมาะแก่การเพาะปลูก โดพื้นที่ที่เคยเป็นแหล่งเกษตรกรรมคุณภาพกลับกลายเป็นดินแข็ง แห้ง หรือแม้กระทั่งกลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมคล้ายทะเลทราย ผลผลิต ซึ่งการเกษตรที่มีคุณภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร ผู้คนอาจต้องพึ่งพาอาหารนำเข้า หรืออาหารสำเร็จรูปมากนัก ซึ่งปัญหานี้เชื่อมโยงกับสุขอนามัยโดยตรง เพราะเมื่ออาหารขาดแคลนหรือไม่มีคุณภาพ จะทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ เด็กเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร ขณะที่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุสามารถเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ความไม่มั่นคงทางอาหารยังสร้างความเครียดและความกังวลในสังคม ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้นการรักษาป่าไม้จึงเป็นเหมือนการรักษาคลังอาหารของโลก ที่ช่วยปกป้องทั้งและใจของคนรุ่นนี้และรุ่นต่อๆ ไปค่ะ และนั่นคือผลกระทบจากการตัดไม่ทำลายป่า ที่เชื่อมโยงมาหาด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมนะคะ โดยในสถานการณ์จริงนั้น ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการทำลายป่าสามารถนำมาใช้ได้หลากหลายโอกาสค่ะ เช่น เมื่อชุมชนต้องเผชิญกับภัยพิบัติอย่างน้ำท่วม ดินถล่ม หรือฝุ่นควัน ความเข้าใจเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างป่ากับสุขอนามัย จะช่วยให้คนตระหนักว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีรากฐานจากการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ตามธรรมชาติ นอกจากนี้ความรู้ดังกล่าวยังช่วยให้เราเลือกใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น เลือกใช้น้ำและพลังงานอย่างประหยัด ไม่บุกรุกพื้นที่ป่าใหม่ และสนับสนุนการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น และการรู้ที่มาของปัญหายังทำให้เราสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้น เพื่อให้เกิดการร่วมมือป้องกันมากกว่าการแก้ไขเพียงเฉพาะหน้าค่ะ และสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันปัญหา คือ การเริ่มจากระดับบุคคลไปจนถึงระดับสังคมค่ะ โดยในชีวิตประจำวันเราสามารถลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากการตัดไม้โดยไม่จำเป็นได้ แต่เลือกใช้วัสดุอื่นทดแทน หรือผลิตภัณฑ์จากป่าเศรษฐกิจ และเข้าร่วมกิจกรรมปลูกป่าหรือดูแลพื้นที่สีเขียวในชุมชน เมื่อมองในภาพกว้างออกชุมชนก็สามารถร่วมกันสร้างกติกา ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืนได้ และผลักดันให้หน่วยงานรัฐออกมาตรการที่เข้มงวดต่อการทำลายป่า ซึ่งการให้ความรู้กับเยาวชนก็สำคัญค่ะ เพราะเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เล็กๆ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันตั้งแต่วันนี้ เราจะสามารถป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม และรักษาทั้งสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไปได้อย่างมั่นคงค่ะ โดยที่ผ่านมาผู้เขียนมีโอกาสได้เห็นพื้นที่ที่มีการทำลายป่าไม้มาบ้างเหมือนกันค่ะ และภาพที่เห็นคือโล่งมาก และพื้นที่ส่วนมากกลายเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแทน ซึ่งถ้าเราติดตามข่าวในพื้นที่จากหลายชุมชนที่มีปัญหาเรื่องน้ำป่าไหลหลากนั้น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากต้นไม้จากป่าหายไปนะคะ ที่แน่นอนว่าในตอนหลังมาก็จะมีข่าวเกี่ยวกับ PM2.5 เพิ่มขึ้นมาด้วย และถ้าจะพูดในเรื่องของสัตว์ป่านั้น หลายครั้งเรามักได้ยินว่าสัตว์ป่ามาทำลายพื้นที่ในชุมชน และกินผลผลิตทางการเกษตร และนั่นคือหลักฐานว่าทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกันค่ะ ที่การตัดไม้ทำลายป่าในอดีต ส่งผลกระทบในปัจจุบัน และการตัดไม้ทำลายป่าในวันนี้ ก็ย่อมส่งผลเสียในด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคตนะคะ จึงอยากเชิญชวนคนไทยทุกคน หันมาร่วมกันอนุรักษ์ป่า ปลูกป่ามากขึ้น และเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยอาจเริ่มจากไร่นาสวนหรือพื้นที่อยู่อาศัยของเราก่อนก็ได้ค่ะ จากนั้นค่อยๆ ขยับขยายออกไปทำในเรื่องไกลตัวมากขึ้น ทำในสิ่งที่เป็นไปได้ก่อน ร่วมกันละคนไม้คนละมือค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป ถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #การตัดไม้ทำลายป่า #การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม #EnvironmentalImpact เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Ümit Yıldırım จาก Unsplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Andre Mouton จาก Unsplash, ภาพที่ 2 โดย Markus Wagner จาก Unsplash ,ภาพที่ 3 ออกแบบใน Canva และภาพที่ 4 โดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ต่อสิ่งแวดล้อม 8 ตัวอย่างมลพิษทางอากาศ จากที่มีสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป 9 ผลกระทบความมั่นคงทางอาหาร จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !