ZIGAเหล็กเพาะกัญชงบูม จับตาQ2งบทุบสถิติใหม่

ทันหุ้น - ZIGA ส่งสัญญาณครึ่งปีหลัง พร้อมขายเหล็กสร้างโรงเรือนกัญชง เชื่อความต้องการสูง หลังผู้ประกอบการเริ่มได้ใบอนุญาตเพาะปลูกแล้ว ฟากบอสใหญ่  “ศุภกิจ งามจิตรเจริญ”  เล็งชงบอร์ดเคาะงบไตรมาส 2 วันที่ 11 สิงหาคมนี้ จับตาผลงานทุบสถิติ เล็งปรับเป้ารายได้ จากเดิมคาดโต 15% โชว์แบ็กล็อกเต็มหน้าตัก 600 ล้านบาท

นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2564 คาดจะเติบโตต่อจากครึ่งปีแรก แม้แนวโน้มราคาเหล็กปรับตัวสูง แต่เชื่อว่าลูกค้าจะมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาเพื่อกักตุนสินค้าพร้อมขาย และป้องกันราคาเหล็กจะสูงขึ้นมากกว่านี้ ประกอบกับผู้ประกอบการนำเข้าและเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์กัญชง กัญชาบางรายได้ใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจแล้ว คาดจะเห็นขั้นตอนการเพาะปลูกในครึ่งปีหลัง 2564 ดังนั้นสินค้าเหล็กที่ใช้เป็นโรงเพาะกัญชง กัญชาจะมียอดขายตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2564 เป็นต้นไป

พร้อมพัฒนาโรงเรือน

บริษัทมีความพร้อมที่พัฒนา และก่อสร้างโรงเรือนในลักษณะ Smart Farm โดยมีระบบ AI เข้ามาช่วยควบคุมให้กับกลุ่มเครือข่ายเพาะปลูกของ บริษัท แพล้นโทโลยี  จำกัด โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีความต้องการใช้โรงเรือนไม่ต่ำกว่า 4-5 พันไร่ อีกทั้งคาดว่าความต้องการใช้เหล็ก เพื่อพัฒนาโรงเรือนกัญชง กัญชาจะมีความต้องการสูงในช่วงต่อจากนี้ ซึ่งเหล็กที่สร้างโรงเรือนจะต้องใช้เหล็กกัลวาไนซ์จึงจะได้มาตรฐาน โดยเชื่อว่ากลุ่มเหล็กที่สร้างโรงเรือนจะเติบโตมาก

ทั้งนี้หากดูจากภาพรวมและปัจจัยครึ่งปีหลัง 2564 แล้ว คาดแนวโน้มผลประกอบการรวมทั้งปี 2564 ไม่น่ากังวล และคาดรายได้จะเติบโตได้มากกว่า 15% โดยบริษัทมีแผนจะปรับรายได้ทั้งปี 2564 เพิ่มขึ้น หลังประกาศงบไตรมาส 2/2564 ซึ่งบริษัทจะประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ประมาณวันที่ 11 สิงหาคมนี้ สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทมั่นใจจะทำสถิติใหม่สูงสุด (นิวไฮ)

“แนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2564 ค่อนข้างดูดี เราเชื่อว่า ZIGA จะยังเป็นหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ดี เพราะครึ่งปีแรก 2564 เรามียอดขายค่อนข้างเยอะ ส่วนทั้งปีเรามั่นใจว่าจะโกรทสูง และน่าจะสูงกว่าเป้าที่ 15% ด้วย ซึ่งหลังจากประกาศงบไตรมาส 2 แล้ว เราอาจต้องมาปรับแผนการโกรทอีกที” นายศุภกิจ กล่าว

งานแน่น 600 ล.

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ หรือ Backlog รวม 600 ล้านบาท แบ่งเป็น ท่อเหล็กแบรนด์ DAIWA จำนวน 200 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าแบรนด์ DAIWA คือกลุ่มงานโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ปัจจุบันหลายโครงการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ในประเทศไทย แต่หากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ คาดงานโปรเจ็กต์จะกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนอีกจำนวน 400 ล้านบาท เป็นท่อเหล็กแบรนด์ ZIGA ซึ่งจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปและผู้รับเหมา

สำหรับสัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจาก Outlet 10% และเพิ่มจาก Online 5% ส่วนท่อร้อยสายไฟ DAIWA เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% ส่วนที่เหลือจะเป็นการจำหน่ายสินค้าให้กับกลุ่มผู้รับเหมา

นายศุภกิจ กล่าวต่อว่า บริษัทจะเดินหน้าขยายสาขา ภายใต้รูปแบบแฟรนไชส์ของ ZIGA ให้ครบ 60 สาขา แม้ครึ่งปีแรกการขยายสาขาจะชะลอตัวไปบ้าง เพราะติดสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้บริษัทรายได้จากรูปแบบแฟรนไชส์เริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว

ทั้งนี้บริษัทเดินเครื่องผลิตสินค้าเกือบ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ต้นปี 2564 เพื่อรองรับออเดอร์ที่มีมากขึ้น สำหรับกำลังผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 7 หมื่นตันต่อปี และใช้กำลังผลิตอยู่ราว 70% หากมีออเดอร์เพิ่มเติมคาดจะมีกำลังผลิตเพียงพอต่อออเดอร์