หลายๆ คนเคยมีเรื่องที่น่าภูมิใจในชีวิตหลายๆ อย่าง บางอย่างอาจจะมีได้เหมือนคนอื่นๆ บางอย่างอาจจะทำไม่ได้ทุกๆ คน เช่นเดียวกับประสบการณ์ที่น่าภูมิใจของผู้เขียนที่เคยถึง 5 เล่ม มีหนังสือจำหน่ายในร้านหนังสือทั่วประเทศ และเล่มเขียนรวมกับนักเขียนคนอื่นๆ อีกหลายเล่ม จึงอยากมาแบ่งปันเรื่องราวตอนนั้นให้อ่านกัน มีโอกาสได้เขียนหนังสือช่วงปี 2551-2553 ผู้เขียนกับทีมงานทำหนังสือ ไม่เคยได้เจอกันเลยสักครั้ง มีเพียงเอกสารและข้อความที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันเท่านั้น แต่การก้าวสู่การเป็นนักเขียนนั้นมาจากเพื่อนเรียนระดับมหาวิทยาลัยไปทำงานเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ติดต่อมาสอบถามว่าสนใจเขียนหนังสือไหม ผนวกกับช่วงนั้นได้ไปอยู่ที่จังหวัดน่าน ได้ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมใหม่ของภาคเหนืออยู่พอดี เลยเขียนบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นแล้วทำเป็นหนังสือทำมือเล่นๆ ได้เล่มหนึ่ง เพื่อนก็ติดต่อมาได้จังหวะพอดิบพอดี เลยรับคำชวนจากเพื่อนทันที การเขียนหนังสือจากสำนักพิมพ์ที่เพื่อนไปทำงานอยู่เป็นการเปิดตลาดแนวหนังสือใหม่ๆ อยู่พอดี จึงต้องเขียนตามแนวที่ทางบรรณาธิการกำหนดให้ โดยหนังสือเล่มแรกใช้ชื่อว่า "24 ความคิด ที่พึงพินิจก่อนตาย" แค่ฟังชื่อแล้วรู้สึกแอบหนักใจเบาๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นการแจ้งเกิดในวงการหนังสือหรือแจ้งดับกันแน่ เพราะชื่อหนังสือก็ดูลึกลับ น่ากลัวอยู่ เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านโลกมานานมากกว่าหนุ่มวัย 20 ต้นๆ ในตอนนั้น แต่ด้วยความที่ชอบเขียนเป็นทุนเดิม ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่สมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย อยากมีหนังสือเป็นของตนเองด้วย ก็เลยใช้ความพยายามศึกษาความรู้เพิ่มเติม หาหนังสือแนวๆ นั้นมาอ่านเพื่อใช้เป็นแนวทางในการเขียน โดยทางสำนักพิมพ์จะส่งหัวข้อ 24 บทมาให้ว่าเนื้อหาควรเป็นประมาณไหน เราก็เขียนไปตามโจทย์ ส่วนไหนที่เป็นคำพูดหรืองานเขียนของคนอื่นก็ต้องอ้างอิงให้ถูกต้อง เขียนส่งไปทีละบทตามวันเวลาที่กำหนดเพื่อบรรณาธิการและทีมงานจะได้ตรวจสอบ ถ้ามีการแก้ไขเราก็แก้กลับไป การสื่อสารกันช่องทางหลัก คือ ทางอีเมลเวลามีการออกแบบปกหรือภาพประกอบเนื้อในเสร็จ ก็จะส่งมาให้ดูเป็นช่วงๆ ที่สำคัญเนื้อหาต้องเรียบร้อยก่อนส่วนอื่น เพื่อจะนำไปออกแบบส่วนอื่นได้ หนังสือเล่มหนึ่งก็ใช้ประมาณ 2-3 เดือน เมื่อเขียนเนื้อหาเสร็จ หลังจากนั้นก็รอให้ทางสำนักพิมพ์ดำเนินการในส่วนของทำแบบ รูปเล่ม จัดหน้า ส่งพิมพ์ตามจำนวนที่กำหนดไว้ จนสำเร็จเป็นรูปเล่มออกมา ทางสำนักพิมพ์ก็จะส่งมาให้ผู้เขียนส่วนหนึ่งด้วย เพื่อโปรโมทหรือแจกจ่ายให้กับผู้ที่สนใจ ที่เหลือก็ส่งไปตามจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วประเทศ ตอนแรกผู้เขียนจะไม่ขอรับค่าเขียนใดๆ เพราะถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ให้ทางสำนักพิมพ์ไปใช้ประโยชน์อะไรก็ได้ แต่สุดท้ายเป็นระเบียบของสำนักพิมพ์ที่จะต้องแบ่ง 10% จากราคาหนังสือให้ผู้เขียน มีการทำหนังสือสัญญาอย่างชัดเจน เมื่อจำเป็นต้องได้รับค่าเขียนจึงไม่ได้คาดหวังยอดอะไรมากมาย ขอแค่ทางสำนักพิมพ์ได้ทุนคืนหรือได้กำไรก็พอแล้ว พอหนังสือออกจำหน่ายได้ 2-3 เดือน ผู้เขียนก็ได้รับค่าเขียนเป็นรอบๆ โดยให้ 6 เดือนครั้ง รายได้จากค่าเขียนผู้เขียนก็เลยนำไปใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ตามที่ตั้งใจไว้ ได้รอบแรกน่าจะ 1-2 หมื่นบาทเลย พอเขียนเล่มแรกไป เล่มถัดๆ มาก็เขียนตามมาเรื่อยๆ จนถึง 5 เล่ม ช่วงหลังๆ ก็เขียนง่ายขึ้น เพราะเริ่มมีแนวทางเป็นของตนเอง และได้เขียนร่วมกับนักเขียนคนอื่นๆ ในสำนักพิมพ์ที่ไม่เคยเจอกันเลยด้วยเช่นกัน ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่แอบภูมิใจเวลาไปร้านหนังสือแล้วเห็นหนังสือของตนเองวางตามชั้นอยู่ เป็นประสบการณ์ดีๆ ในช่วงนั้น ต้องขอบคุณเพื่อนบรรณาธิการคนนั้นที่เห็นแววการเขียนของเราจนสามารถมีผลงานเขียนออกมาได้ เป็นอีกความฝันที่กลายเป็นจริง หมายเหตุ ช่วงที่ได้เขียนหนังสือ ผู้เขียนเป็นพระที่ไปทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่จังหวัดน่าน และเขียนหนังสือแนวธรรมมะประยุกต์ เป็นนักเขียนสายธรรมะคนแรกของสำนักพิมพ์ดังกล่าวด้วย ทุกภาพประกอบ โดยผู้เขียน ขอบคุณ Canva ใช้ตกแต่งภาพปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !