>> ภาพโดยผู้เขียนค่ะ <<ช่วงเดือนเมษายนของทุกปี เป็นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม ผู้เขียนจะกลับบ้านเกิดที่จังหวัดน่าน เพื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัว และช่วยที่บ้านเก็บเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปีนี้เป็นปีแรกที่ผู้เขียนไม่ได้กลับบ้าน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้ผู้เขียนได้แต่ติดต่อกับทางครอบครัวผ่านโทรศัพท์ คุณแม่จะคอยเป็นห่วงและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอยู่เสมอ และวันนี้ช่วงหัวค่ำแม่ก็โทรมาพร้อมกับเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสวนมะม่วงหิมพานต์ เนื่องจากปีนี้เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 3 จึงทำให้มีจำนวนเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังขาดคนช่วยเก็บด้วย ซึ่งประเด็นหลักน่าจะอย่างหลังมากกว่า 555 หลังจากจบการสนทนากับแม่ ผู้เขียนจึงอยากจะเขียนเล่าเกี่ยวกับการปลูกมะม่างหิมพานต์ค่ะ>> ภาพโดยผู้เขียนค่ะ << มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชตระกูลเดียวกับมะม่วง แต่จะมีความแปลกตรงที่ จะมีเมล็ดโผล่ออกมานอกผล และจะห้อยตรงปลายลูก แต่ในทางพฤกษศาสตร์แล้ว ผลคล้ายลูกชมพู่ที่เราเห็นนั้นคือ การพองตัวของก้านดอก เราจะเรียกว่าเป็นผลปลอมหรือว่าผลเที่ยมนั่นเอง ส่วนเมล็ดที่ติดอยู่ตรงปลายนั้นคือ ผลจริง ที่เราเรียกว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ค่ะ >> ภาพโดยผู้เขียนค่ะ <<มะม่วงหิมพานต์ มีแหล่งกำเนิดอยู่แถวทวีปอเมริกาใต้ค่ะ เป็นไม้ผลยืนต้นเขตร้อน ประเภทไม้ผลัดใบ ผู้คนในหมู่บ้านของผู้เขียนส่วนใหญ่จะปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ เนื่องจากเป็นพืขที่ปลูกง่าย โตเร็ว ใช้เวลาแค่ 2 ปี จะให้ผลผลิตยาวนานเป็นสิบปีเลยค่ะ คุณแม่ผู้เขียนใช้พื้นที่กว่า 6 ไร่ ในการปลูกมะม่วงหิมพานต์ค่ะ จำนวนประมาณกว่า 300 ต้นค่ะ>> ภาพโดยผู้เขียนค่ะ <<วิธีการปลูก มี 2 วิธีคือ ใช้เมล็ดแก่หยอดลงหลุมได้เลย หรือเพาะเมล็ดในถุงดินประมาณ 2 เดือน ก็ย้ายปลูกได้เลยค่ะ ซึ่งที่บ้านผู้เขียนใช้วิธีหยอดเมล็ดแก่ลงหลุมเลยค่ะ ระยะห่างระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 6 เมตรค่ะ การดูแลรักษาในช่วง 1 ปีแรก หากถึงช่วงฤดูแล้งแล้วดินแห้งมาก สามารถให้น้ำเป็นครั้งคราวได้ หลังจากพ้น 1 ปี แล้ว ต้นมะม่วงหิมพานต์จะทนแล้งได้มากขึ้นส่วนการใส่ปุ๋ย หลังจากปลูกได้ 6 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยคอก อัตรา 3 - 5 กำมือ รอบโคนต้น และใส่อีกครั้งเมื่อครบ 1 ปีค่ะ หลังจากนั้นในช่วง 1-2 ปี ควรใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกด้วย ในส่วนที่เท่ากับปุ๋ยคอกนะคะ ควรใส่ในช่วงต้นฤดูฝน และปลายฤดูฝนค่ะ หากมีอายุมากกว่า 3 ปี ให้ใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มเป็น 3 ครั้งต่อปี แลเพิ่มอัตราปุ๋ยเป็น 2 - 4 เท่าค่ะ>> ภาพโดยผู้เขียนค่ะ <<การเก็บเกี่ยวมะม่วงหิมพานต์จะให้ผลผลิตครั้งแรก หลังจากการปลูก 2-3 ปี ก็จะเริ่มติดดอกในช่วงเดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงนี้คุณแม่จะฉีดฮอโมนเพิ่มด้วยค่ะ เราจะเก็บเมล็ดได้มาในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายนค่ะ เมล็ดที่เก็บได้จะเป็นสีน้ำตาลเข้มและสีดำนะคะ สำหรับรายได้จากการขายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ของคนในหมู่บ้านผู้เขียนนั้น จะมีกลุ่มพ่อค้ามารับซื้อจากสวน ราคากิโลกรัมละ 40 - 60 บาท เพื่อนำส่งไปยังโรงงาน ในหมู่บ้านผู้เขียนยังไม่มีการนำมาแปรรูปอย่างจริงจัง เนื่องจากชาวบ้านมีการปลูกพืชหมุนเวียนที่หลากหลาย ดังนั้นรายได้จากการขายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ จึงเป็นรายได้เสริมที่ไม่ได้ลงทุนมากแต่ได้กำไรทุกปี >> ภาพโดยผู้เขียนค่ะ <<โดยรายได้สำหรับใครที่ปลูกมามากกว่า 5 ปี ก็จะมีผลผลิตปีละมากกว่า 1 ตัน ซึ่งก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในส่วนของผู้เขียน คุณแม่เพิ่งเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นครั้งที่ 2 จึงยังไม่ได้ผลผลิตที่มากนัก แต่ก็จะมีการรับซื้อจากชาวบ้าน เพื่อขายส่งไปยังพ่อค้าคนกลางเพื่อนำไปแปรรูปอีกที ก็จะสามารถได้ผลกำไรจากการขายตรงนี้เพิ่มมาด้วยสำหรับการแปรรูปเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถือว่าได้ราคาดีทีเดียว ยิ่งมีการคัดเกรดที่มีเมล็ดโตเกรด A ราคากิโลกรัมละ 500 บาท เนื่องจากต้องผ่านกรรมวิธีการกระเทาะเปลือกออก หากมีเครื่องทุ่นแรงก็จะประหยัดเวลาและสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก แต่หากต้องแปรรูปด้วยการคั่วแบบดั้งเดิม ก็จะใช้เวลานานกว่าจะได้บรรจุภัณฑ์ หากใครสนใจยึดเป็นอาชีพหลักก็ถือว่าได้กำไรที่ดีอีกช่องทางหนึ่ง ปัจจุบัน มะม่วงหิมพานต์ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจก็ว่าได้ เพราะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลมากนัก อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของตลาด และมีราคาสูง หากใครที่กำลังมองหาพืชเศรษฐกิจ ลองปลูกมะม่วงหิมพานต์ดูนะคะ