รีเซต

หุ้นไทยวันนี้ 29 ตุลาคม 2568 ปิดบวก 1.36 จุด แกว่งไซด์เวย์ - วอลุ่มเบาบาง

หุ้นไทยวันนี้ 29 ตุลาคม 2568 ปิดบวก 1.36 จุด แกว่งไซด์เวย์ - วอลุ่มเบาบาง
TNN ช่อง16
29 ตุลาคม 2568 ( 17:54 )
13

วันนี้ (29 ต.ค. 68) ตลาดหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย โดยดัชนี SET ปิดที่ 1,315.64 จุด เพิ่มขึ้น 1.36 จุด หรือ +0.10% มูลค่าการซื้อขายรวม 33,460.18 ล้านบาท เคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดวัน ลักษณะ “ไซด์เวย์” จากแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่บางตัว โดยเฉพาะ AOT, DELTA และกลุ่ม ICT ที่ช่วยหนุนดัชนีให้ปิดในแดนบวกได้

ระหว่างวัน ดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,321.79 จุด และต่ำสุดที่ 1,312.80 จุด ขณะที่ภาพรวมตลาดมีหุ้นเพิ่มขึ้น 161 หลักทรัพย์, ลดลง 296 หลักทรัพย์, และไม่เปลี่ยนแปลง 197 หลักทรัพย์ สะท้อนภาวะการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบางก่อนทราบผลประชุมเฟด

นายวีรวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอส เอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นคืนนี้ ขณะที่ตลาดภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวผสมทั้งบวกและลบสลับกัน

นักลงทุนยังติดตามการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ในช่วงปลายสัปดาห์ โดยคาดว่าจะมีการหารือด้านการค้าระหว่างผู้นำ สหรัฐ และ จีน ซึ่งอาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วภูมิภาค

สำหรับแนวโน้มวันพรุ่งนี้ หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ และส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น มีโอกาสหนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ต่อ โดยให้แนวต้านที่ 1,320–1,325 จุด และแนวรับที่ 1,305–1,310 จุด

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,061.60 ล้านบาท ปิดที่ 179.00 บาท ลดลง 1.50 บาท
  2. AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,918.35 ล้านบาท ปิดที่ 41.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
  3. SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,872.14 ล้านบาท ปิดที่ 129.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
  4. PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,787.10 ล้านบาท ปิดที่ 30.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
  5. DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,704.18 ล้านบาท ปิดที่ 227.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท

โดยสรุป ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังเคลื่อนไหวจำกัด แต่สามารถทรงตัวในแดนบวกได้จากแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจับตาคือผลการประชุมเฟด ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในช่วงต่อไป รวมถึงผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเวทีเอเปคที่จะมีผลต่อกระแสเงินทุนต่างชาติในระยะสั้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง