รีเซต

คลังเผยสูงวัยแห่ถอนเงินหมื่นเฟสสองสะพัด13เท่า

คลังเผยสูงวัยแห่ถอนเงินหมื่นเฟสสองสะพัด13เท่า
ทันหุ้น
29 มกราคม 2568 ( 15:11 )
7

คลังเผยผู้สูงอายุแห่ถอนเงินหมื่นเฟสสองสะพัด โดยยอดถอนเงินผ่านตู้ ATM ของธ.ก.ส.พุ่งสูงขึ้นกว่าปกติถึง 13 เท่า

 

#ทันหุ้น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า บรรยากาศการใช้จ่ายเงินในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 หมื่นบาท เฟสสอง สำหรับผู้สูงอายุ 60ปีขึ้นไป เต็มไปด้วยความคึกคัก โดยมีประชาชนผู้ได้สิทธิต่างออกมาถอนเงินไปจับจ่ายใช้สอยจำนวนมาก ซึ่งสถิติการถอนเงิน จากตู้ATMของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวันที่ 27ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันแรกของการโอนเงินหมื่นให้กับผู้สูงอายุ สูงกว่าวันปกติถึง 13.28เท่าตัว ทำให้เม็ดเงินเกิดการหมุนเวียน และเป็นแรงส่งสำคัญช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัว

 

สำหรับผลการโอนเงินหมื่นเฟสสอง ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่ผ่านมานั้น มีการโอนจ่าย 3,025,596 คน โอนสำเร็จได้รับเงินแล้ว 2,825,076 คน และโอนไม่สำเร็จยังไม่ได้รับเงิน 200,520 คน โดยสาเหตุที่คนยังไม่ได้รับเงิน ส่วนใหญ่ 97.10%ไม่ได้มีการผูกพร้อมเพย์ รองลงมา 2.90%เป็นสถานะบัญชีมีปัญหา เช่น บัญชีปิด บัญชีติดเงื่อนไข เป็นต้น ดังนั้น ขอแนะนำให้ประชาชนรีบแก้ไข เพื่อรอรับการโอนซ้ำอีก 3 ครั้ง ในวันที่ 28ก.พ. 28 มี.ค. และ 28เม.ย.นี้ ซึ่งสามารถไปติดต่อธนาคารผูกพร้อมเพย์กับบัญชีเงินฝากด้วยเลขประจำตัวประชาชน หรือรีบติดต่อธนาคารที่มีบัญชีอยู่ แก้ไขสถานะบัญชีให้พร้อมรับเงิน

 

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ Kick off โครงการแจกเงินหมื่นบาทให้แก่ผู้สูงอายุ 60ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นเฟสที่สองของโครงการ Digital wallet เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หลังจากการแจกเงินในโครงการนี้เฟสแรก ให้กับกลุ่มคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนถือบัตรคนพิการ รวม 14.45ล้านคน

 

ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้กล่าวเปิดโครการแจกเงินแก่ผู้สูงอายุ ในวันที่ 27 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันแรกของการแจกเงินในโครงการนี้ ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ กับการกระตุ้น เศรษฐกิจและเห็นว่าการกระตุ้น เศรษฐกิจเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนมีกิน มีใช้ รวมทั้งเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และสามารถเป็นทุนในการต่อยอดประกอบอาชีพของประชาชนได้ด้วย

 

สำหรับคุณสมบัติของผู้สูงอายุที่จะได้รับเงินจากโครงการนี้นั้น นอกจากจะต้องเป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปแล้ว ยังจะต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขของโครงการ digital wallet ที่กำหนด เช่น จะต้องมีรายได้พึงประเมินภาษีทั้งปี ไม่เกิน 8.4แสนบาทในปีภาษี 2566 และมีเงินฝากรวมกันไม่เกิน 5แสนบาท ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567เป็นต้น

 

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง มองว่า กลุ่มคนสูงอายุ เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมที่มีความเปราะบาง โดยเฉพาะในเรื่องรายได้ ดังนั้น เมื่อคนกลุ่มนี้ได้รับเงินจากโครงการนี้ไปแล้ว ก็มีความโน้มเอียงที่จะบริโภคทันที หรือ มี Marginal Propensity to Consume : MPC ค่อนข้างสูง โดยกระทรวงการคลัง คาดว่า โครงการนี้ จะช่วยเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศราว 0.07 -0.1% เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่มีโครงการนี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง