สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน วันนี้ผมจะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับเกม RPG แนวแฟนตาซีที่อยู่ในความทรงจำสมัยเด็กของใครหลายๆ คน นั่นก็คือ Atelier Iris 2: The Azoth of Destiny เกมจากค่าย Gust ที่วางจำหน่ายบนเครื่อง Playstation 2 ครับ บอกเลยว่าสมัยเด็กๆ ผมหลงใหลในโลกของ Atelier Iris 2 มากๆ ด้วยความที่ตัวเกมมีภาพสวยงามสไตล์อนิเมะ มีระบบการเล่นที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และที่สำคัญคือ "ระบบการเล่นแร่แปรธาตุ" ที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ Atelier ทำให้ผมสนุกไปกับการผสมไอเทมต่างๆ มากมาย จำได้ว่าสมัยนั้น ผมมักจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการทดลองผสมวัตถุดิบต่างๆ เพื่อสร้างไอเทมแปลกๆ บางครั้งก็ได้ไอเทมที่ทรงพลัง บางครั้งก็ได้ไอเทมที่ไร้ประโยชน์ แต่ก็สนุกกับการค้นหาสูตรใหม่ๆ อยู่เสมอ Atelier Iris 2 ถือเป็นภาคต่อของ Atelier Iris: Eternal Mana แต่เนื้อเรื่องไม่ได้เชื่อมโยงกันโดยตรง ทำให้คนที่ไม่เคยเล่นภาคแรกมาก่อนก็สามารถสนุกกับเกมนี้ได้อย่างเต็มที่ครับ เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันเลยดีกว่าครับว่า Atelier Iris 2 มีอะไรน่าสนใจบ้าง เนื้อเรื่อง - มิตรภาพ ความรัก และการเสียสละ Atelier Iris 2 เล่าเรื่องราวของ Felt เด็กหนุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุจากหมู่บ้าน Eden ที่วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ Viese เพื่อนสนิท (และอาจจะเป็นคนที่แอบชอบ?) ของเขาต้องหายตัวไปในรอยแยกมิติ Felt จึงตัดสินใจออกเดินทางข้ามโลกเพื่อตามหา Viese และช่วยโลกจากภัยพิบัติลึกลับนี้ ระหว่างทางเขาได้พบกับเพื่อนใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Fee จอมเวทสาวน้อยผู้ร่าเริง Max อัศวินหนุ่มผู้แข็งแกร่ง และ Arlin นักดาบสาวผู้มีอดีตอันลึกลับ พวกเขาต้องร่วมมือกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ Viese และไขปริศนาเบื้องหลังเหตุการณ์ประหลาดนี้ สิ่งที่ผมชอบในเนื้อเรื่องของเกมนี้คือ การเล่าเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็แฝงไปด้วยข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับมิตรภาพ ความรัก และการเสียสละ ตัวละครแต่ละตัวก็มีบุคลิกที่น่าจดจำ และมีปมหลังที่น่าสนใจ อย่างเช่น Arlin ที่ดูเหมือนจะเป็นคนเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเธอมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายใน หรือ Max ที่ภายนอกดูแข็งแกร่ง แต่จริงๆ แล้วเขากลับรู้สึกกดดันกับความคาดหวังของคนรอบข้าง ทำให้เราเห็นถึงมิติต่างๆ ของตัวละคร โดยเฉพาะ Felt ที่ถึงแม้จะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ แต่ก็มีความมุ่งมั่นและกล้าหาญมาก ทำให้ผมอินไปกับการเดินทางของเขาจริงๆ ครับ กราฟิก - สีสันสดใส สไตล์อนิเมะ กราฟิกของเกมนี้เป็นแบบ 2.5D โดยใช้ฉากหลังเป็นภาพวาดสีน้ำ ส่วนตัวละครจะเป็นแบบ 3D โพลิก้อน ซึ่งภาพรวมออกมาดูสวยงามลงตัว สีสันสดใสสไตล์อนิเมะ ถึงแม้กราฟิกจะไม่ได้อลังการงานสร้างเหมือนเกมยุคใหม่ แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของมันเอง โดยเฉพาะฉากหลังที่วาดออกมาได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ทะเลทราย หรือเมืองโบราณ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น แสงแดดที่ส่องลอดผ่านใบไม้ เงาสะท้อนบนผิวน้ำ หรือควันไฟที่ลอยละล่อง ล้วนถูกใส่ใจเป็นอย่างดี ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริงๆ เลยครับ เพลงประกอบ - ไพเราะ ฟังสบาย เพลงประกอบของเกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ผมชอบมาก โดยเพลงส่วนใหญ่จะเป็นแนว Orchestral ผสมผสานกับดนตรี Celtic ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ เข้ากับบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดี เช่น เพลงในเมือง Eden ที่มีทำนองสดใส ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่บ้าน หรือเพลงในดันเจี้ยนโบราณ ที่มีทำนองลึกลับ ชวนให้ขนลุก มีบางเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม ให้พลังบวก เช่น เพลงตอน Boss Battle ที่มีจังหวะเร้าใจ ทำให้ผมอยากออกไปผจญภัยในโลกกว้าง เพลงประกอบของเกมนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเยี่ยม ไม่แพ้เกม RPG ดังๆ ในยุคนั้นเลยครับ ระบบการเล่น - เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ระบบการเล่นของ Atelier Iris 2 เป็นแบบ Turn-Based RPG ที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้เล่นจะต้องควบคุมปาร์ตี้ 3 คน ต่อสู้กับศัตรู โดยแต่ละตัวละครจะมีทักษะ ไอเทม และเวทมนตร์ ที่แตกต่างกันออกไป เช่น Fee จะมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์โจมตีเป็นวงกว้าง ส่วน Max จะเก่งในการป้องกัน จุดเด่นของระบบต่อสู้คือ "ระบบ Chain Burst" ที่เมื่อโจมตีศัตรูต่อเนื่อง จะทำให้เกิด Combo และสร้างความเสียหายได้มากขึ้น ยิ่งเราโจมตีต่อเนื่องมากเท่าไหร่ พลังโจมตีก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้การต่อสู้มีความสนุก ตื่นเต้น และท้าทายมากขึ้นครับ ระบบการเล่นแร่แปรธาตุ - หัวใจหลักของเกม มาถึงระบบที่เป็นหัวใจหลักของเกมซีรีส์ Atelier นั่นก็คือ "ระบบการเล่นแร่แปรธาตุ" ในเกมนี้ Felt สามารถใช้ Mana จากมอนสเตอร์ มาสร้างไอเทมต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น อาวุธ ชุดเกราะ ยา หรือไอเทมพิเศษ ซึ่งไอเทมแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติ และเอฟเฟกต์ ที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับ Mana ที่ใช้ และวิธีการสังเคราะห์ เช่น ถ้าเราใช้ Mana ของมอนสเตอร์ประเภทไฟ มาสังเคราะห์อาวุธ ก็จะได้อาวุธที่มีพลังโจมตีธาตุไฟ ความสนุกของระบบนี้คือการทดลอง ผสม Mana ชนิดต่างๆ เพื่อสร้างไอเทมที่ทรงพลัง ยิ่งเราเล่นเกมไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งปลดล็อกสูตรการสังเคราะห์ใหม่ๆ ทำให้ผมรู้สึกอยากเล่นต่อไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาไอเทมสุดยอดครับ ประสบการณ์การเล่น - ความทรงจำในวัยเด็ก Atelier Iris 2 เป็นเกมที่ผมเล่นแล้วรู้สึกสนุก ผ่อนคลาย และมีความสุขมาก จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจโลก ต่อสู้กับมอนสเตอร์ หรือผสมไอเทม ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในเกม ไม่ว่าจะเป็น Mana หายาก สูตรการสังเคราะห์ใหม่ๆ หรือฉากจบที่แตกต่างกัน ซึ่งในเกมนี้มีฉากจบให้เก็บถึง 3 แบบ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของ Felt กับตัวละครหญิงในเกม Atelier Iris 2 เป็นเกมที่มอบความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กให้กับผม และเป็นเกมที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองเล่นดูครับ ข้อดี เนื้อเรื่องสนุก เข้าใจง่าย มีการดำเนินเรื่องที่กระชับ ไม่ยืดเยื้อ กราฟิกสวยงามสไตล์อนิเมะ มีรายละเอียดของฉากที่น่าประทับใจ เพลงประกอบไพเราะ เข้ากับบรรยากาศของเกม ระบบการเล่นไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกเพศทุกวัย ระบบการเล่นแร่แปรธาตุสนุกและน่าติดตาม มีไอเทมให้สังเคราะห์มากมาย ข้อเสีย ระบบต่อสู้ อาจจะดูเรียบง่ายเกินไป สำหรับคนที่ชอบเกม RPG ที่มีระบบต่อสู้ซับซ้อน เนื้อเรื่องช่วงแรก อาจจะดำเนินเรื่องช้าไปหน่อย กว่าจะสนุกจริงๆ ก็ปาไปกลางๆ เรื่อง ดันเจี้ยนบางแห่ง มีลักษณะคล้ายกัน ทำให้รู้สึกจำเจบ้างเล็กน้อย โดยรวมแล้ว Atelier Iris 2: The Azoth of Destiny เป็นเกม RPG ที่ผมประทับใจมาก ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเกมลดลงเลย ตัวเกมมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม ภาพสวย เพลงเพราะ ระบบการเล่นแร่แปรธาตุที่เป็นเอกลักษณ์ และมอบประสบการณ์การเล่นที่สนุกสนาน ผ่อนคลาย หากใครที่กำลังมองหาเกม RPG เล่นเพลินๆ สักเกม ผมขอแนะนำ Atelier Iris 2 เลยครับ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ Atelier Iris 2 เกมนี้วางจำหน่ายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2005 และวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2006 Atelier Iris 2 เป็นเกมภาคที่ 3 ในซีรีส์ Atelier Iris แต่เนื้อเรื่องไม่ได้เชื่อมโยงกับภาคก่อนๆ ทำให้สามารถเล่นแยกกันได้ เกมนี้มีฉากจบทั้งหมด 3 แบบ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของ Felt กับตัวละครหญิงในเกม เพลงประกอบของเกมนี้ประพันธ์โดย Ken Nakagawa ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์เพลงให้กับเกมในซีรีส์ Atelier หลายภาค หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังสนใจ Atelier Iris 2: The Azoth of Destiny นะครับ ถ้ามีโอกาส ผมจะเขียนรีวิวเกมอื่นๆ ที่อยู่ในความทรงจำมาให้อ่านกันอีกนะครับ สำหรับวันนี้ ขอตัวลาไปก่อน สวัสดีครับ เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !