BEM พื้นฐาน-เงินสดแกร่ง ชูสัมปทานหนุนมูลค่าสูง

#BEM #ทันหุ้น - BEM คาดผู้โดยสาร MRT สายสีน้ำเงินไตรมาส 3/2568 เฉลี่ย 4.3 - 4.4 แสนเที่ยวต่อวัน หนุนหลักจากการเปิด Central Park ดุสิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ย้ำศักยภาพจากสัมปทานระยะยาว ทั้งสายสีน้ำเงินและทางด่วนสร้างกระแสเงินสดมั่นคงและโอกาสการประหยัดต่อขนาด ด้านโบรกเล็งมูลค่าทรัพย์สินตามสัมปทานยังสูงกว่าราคาตลาด รวมถึงศักยภาพจาก Double Deck และสายสีม่วงใต้ เล็ง เป้า 9.75 บาท
ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยว่า บริษัทประมาณการผู้โดยสารเฉลี่ยในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินงวดไตรมาส 3/2568 ประมาณ 4.3 - 4.4 แสนเที่ยวต่อวัน โดยปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยในวันทำงานสูงกว่า 5 แสนเที่ยวต่อวัน หนุนจากการเปิดภาคการศึกษา, กิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเปิดดำเนินการศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ดุสิต ขณะที่ปริมาณการจราจรบนทางด่วนยังคงทรงตัวที่ราว 1.1 ล้านคันต่อวัน
ทั้งนี้ BEM ยังคงมีศักยภาพเชิงโครงสร้าง (Structural Advantage) ในฐานะผู้รับสัมปทานเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ระยะเวลาสิ้นสุดสัมปทานในปี 2593 และผู้รับสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 1 – ขั้นที่ 2 ระยะเวลาสิ้นสุดสัมปทานปี 2578 ที่สร้างรายได้ - กระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ (Anchored Cash Flow) และต่อเนื่องตลอดอายุสัมปทาน ทั้งยังทำให้บริษัทสามารถคาดการณ์รายได้และผลกำไรล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ไม่ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
สถาบันการเงินเชื่อมั่น
ขณะเดียวกันการดำเนินงานในระยะยาวยังส่งผลให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย (Average Cost Per Trip/Vehicle) ลดลงอย่างต่อเนื่องเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ทั้งยังมีความน่าเชื่อถือทางเครดิตในการระดมทุนและขอสินเชื่อ (Creditworthiness) เนื่องจากสถาบันการเงินมีความมั่นใจในความสามารถในการชำระหนี้ระยะยาว เอื้อต่อการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรายได้ในระยะยาว อาทิการปรับปรุงระบบรถไฟฟ้าและทางด่วนให้ทันสมัย เช่น การเพิ่มขบวนรถ, การพัฒนาเทคโนโลยีเก็บค่าผ่านทาง, และการบำรุงรักษาครั้งใหญ่ เนื่องจากมีเวลาเพียงพอที่จะรับผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละโครงการ (Return on Investment)
อีกทั้งยังสามารถวางแผนการพัฒนาเชิงพาณิชย์ (Commercial Development) เช่น การให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานี (Metro Mall), การโฆษณา, และการบริการโทรคมนาคมได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องแต่ละช่วงเวลา โดยรายได้ส่วนนี้จะเติบโตตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และมีอัตรากำไรสูงกว่าธุรกิจหลัก
พร้อมกันนี้บริษัทยังเป็นผู้ได้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ระยะเวลา 30 ปี สิ้นสุดในปี 2600 รวมถึงยังมีโอกาสขยายระยะเวลาสัมปทานโครงการทางด่วนออกไปอีกราว 20 ปี หากรัฐบาลพิจารณาดำเนินโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ซึ่งทางบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานตลอดโครงการเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบนทางด่วน โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน
โค้งสามโตต่อเนื่อง
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 3/2568 เติบโต QoQ จากการเดินทางที่กลับมาเร่งตัวหลังช่วงปิดเทอม อีกทั้งยังมีเงินปันผลรับจาก TTW แต่คาดทรงตัว YoY แม้แนวโน้มกำไร 4/2568 จะลดลง QoQ เพราะไม่มีเงินปันผลรับจาก TTW แต่คาดรายได้ธุรกิจหลักและกำไรกลับมาเติบโต YoY หนุนจาก Ridership ที่เติบโต YoY เต็มไตรมาส จึงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2568 ที่ 4,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% YoY และเร่งตัวขึ้น 5% YoY แตะ 4,294 ล้านบาท ในปี 2569 จากมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มธุรกิจระบบรางการเปิดโครงการขนาดใหญ่ตลอดแนวรถไฟฟ้า เช่น Central Park ที่จะกระตุ้นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทั้งยังมีกำหนดการ การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเพิ่มแหล่งรายได้และสร้าง Synergy ร่วมกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นต้นไป รวมถึงการปลดล็อก Upside Risks จากโครงการทางด่วน Double Deck และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่จะหนุนการเติบโตของผลประกอบการในระยะยาว จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 9.50 บาท
ราคาต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สิน
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าสัมปทาน ณ ปัจจุบันของ BEM ประกอบด้วย 1.สัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และ 2.สัมปทานโครงการทางด่วนได้ที่ 6.89 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นที่ซื้อ-ขาย ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาที่ 5.25 บาทต่อหุ้น
สำหรับมุมมองเชิงปัจจัยพื้นฐานยังคงมีการเติบโตระยะยาว โดยคาดว่าปริมาณการจราจรบนทางด่วนจะเติบโตเฉลี่ยที่ 1.4% ต่อปี ขณะที่ปริมารผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะเติบโตเฉลี่ยที่ 3.5% ต่อปี ทั้งยังมีโอกาสการเติบโตในอนาคตและโครงการสำคัญที่อาจเป็นปัจจัยบากต่อมูลค่าหุ้นของบริษัท ได้แก่ สัญญาเดินรถและบำรุงรักษารถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และโครงการทางด่วน 2 ชั้น ซึ่งยังไม่ได้ถูกรวมอยู่ในมูลค่าประเมินปัจจุบันที่ 9.75 บาท เบื้องต้นประเมินมูลค่าเพิ่มที่อาจเกิดขึ้นจากงานรับจ้างเดินรถ และพัฒนาระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่ราว 0.5 - 1.0 บาทต่อหุ้น, ทางด่วน 2 ชั้น : 1.5 บาทต่อหุ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
